องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 177

ไท่ฟู่รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่แล้วเขาจะทำอะไรได้ เจ้าฉินเหยียนที่เป็นเพียงโอรสของพระสนมที่ไม่มีใครเกื้อหนุน ตอนนี้กำลังเป็นที่รู้จักไปทั่ว หากวันข้างหน้าได้ขึ้นครองบัลลังก์จริงๆ เกรงว่าพระราชสำนักคงเปลี่ยนแบบพลิกแผ่นดินเลยล่ะ

ยิ่งคิดก็ยิ่งสลด เขากัดฟันแล้วพูดว่า “ยังต้องรอเขาขึ้นครองบัลลังก์รึไง? ข้ากลับเมืองหลวงครั้งนี้จะทำการส่งสารถึงตระกูลขุนนางชั้นสูงเพื่อร่วมมือกัน จะให้เจ้าองค์ชายพระสนมนี่ได้ใจไม่ได้!”

แต่จ้าวฉี่หมิงกลับหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ด้วยสถานการณ์ของเจ้าในปัจจุบันนี้ยังคิดจะเล่นงานเจ้าองค์ชายที่เป็นที่โปรดปรานให้ถึงแก่ความตายงั้นรึ ล้อเล่นอะไรของเจ้า เจ้าน่ะโง่เสียจริง!”

ไท่ฟู่ตะคอกด้วยความเดือดดาลว่า “หัวเราะอะไรของเจ้า เจ้านักโทษ!”

จ้าวฉี่หมิงหยุดหัวเราะแล้วพูดตรงๆว่า “บอกว่าเจ้าโง่เหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อกันนะ อย่างไรเจ้าก็เป็นถึงราชครู เหตุใดเหตุผลง่ายๆแค่นี้ถึงไม่เข้าใจนะ”

คำพูดนี้ถือว่าได้เตือนสติไท่ฟู่อย่างโจ่งแจ้งแล้ว

“เจ้ามีแผนอะไร ลองว่ามา”

จ้าวฉี่หมิงมองความคิดของไท่ฟู่ออก เขาพูดอย่างมีลับลมคมในว่า “อ๋องเหยียนของพวกเจ้าน่ะไม่เพียงแต่จะได้รับรางวัล แถมยังได้อำนาจการบัญชากองทัพด้วย ช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก เพียงแต่ว่า……”

เขาจงใจพูดแค่ครึ่งเดียว แล้วรอให้ไท่ฟู่ถาม

“เพียงแต่อะไร?” ไท่ฟู่ติดกับเข้าแล้วจริงๆ

จ้าวฉี่หมิงแสร้งทำเป็นครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ตลอดทุกราชวงศ์นั้น ไม่มีฮ่องเต้องค์ไหนที่เกิดความสงสัยในบริพารของตน ต่อให้เป็นองค์ชายที่มีอำนาจใหญ่ครอบครอง มีความมั่งคั่ง มีความทะเยอทะยานสูง หากคนเช่นนี้ได้รับอำนาจ เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นในพระราชสำนักต่างเอนเอียงไปทางเขา เจ้าลองคิดดูว่าฮ่องเต้จะทำอย่างไร?”

ไท่ฟู่เข้าใจในทันที “เจ้าหมายความว่า……”

“หากคิดจะเล่นงานใครก็ให้ชักหมัดเข้ามาก่อน ในพระราชสำนัก หากอยากจะฆ่าใคร ยิ่งเป็นถึงองค์ชายด้วยแล้ว วิธีที่ดีที่สุดคือให้เขาแหกกฎของราชวงศ์นั่นเอง ในใต้หล้านี้ไม่มีฮ่องเต้องค์ไหนที่จะยอมรับอำนาจที่สูงจนกลบตนเอง ฮ่องเต้ฉินของพวกเจ้าเองก็ยอมรับไม่ได้เช่นกัน!”

ไท่ฟู่เข้าใจในทันที แผนการอันชั่วร้ายได้ผลิบานขึ้นแล้ว เขาหันไปหาจ้าวฉี่หมิงแล้วยิ้มอย่างชั่วร้ายพร้อมพูดว่า

“เจ้ามันเป็นตาเฒ่าแสนเจ้าเล่ห์จริงๆ!”

……

ฉินเหยียนรู้ได้ทันทีว่าเขาถามถูกคนแล้ว จึงได้พูดตรงๆว่า “เจ้ารู้เรื่องประวัติศาสตร์ของอาณาจักรจ้าวมากน้อยแค่ไหน เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ”

จ้าวจือหย่าวางตะเกียบลงแล้วพูดน่าตื่นตาตื่นใจว่า “อาณาจักรจ้าวนั้นถือเป็นการปกครองแบบวงศ์ตระกูลเพคะ อำนาจของฮ่องเต้ ผู้สืบบัลลังก์ รวมถึงผู้มีอำนาจนั้น ล้วนเป็นผู้มีสายเลือดของตระกูลจ้าว พวกเขาทั้งหมดเป็นญาติกันเพคะ”

“กล่าวคือนับตั้งแต่ที่ได้ก่อตั้งอาณาจักรจ้าวขึ้น ตระกูลจ้าวก็ได้ครอบครองอำนาจใหญ่เพียงตระกูลเดียว มีเพียงผู้มีสกุลจ้าวเท่านั้นที่เป็นคนที่มีเกียรติที่สุดเพคะ”

“เมื่อเปรียบเทียบกับอาณาจักรฉินของเราแล้ว การแต่งตั้งรัชทายาทของอาณาจักรฉินนั้นจะให้แก่ผู้มีสติปัญญามากกว่าสายเลือดโดยตรงเพคะ แต่อาณาจักรจ้าวไม่ใช่เพคะ พวกเขาจะแต่งตั้งให้แก่สายเลือดโดยตรงเท่านั้น ต่อให้จะมีความสามารถและกำลังมากแค่ไหน หากไม่ใช่สายเลือดโดยตรงก็ไม่มีทางได้สืบทอดบัลลังก์เพคะ เป็นเช่นนี้มาตลอด”

“ดังนั้นในอาณาจักรจ้าว เป็นเรื่องยากมากสำหรับคนธรรมดาที่จะประสบความสำเร็จได้เพคะ เช่นเดียวกับแม่ทัพหยางจ้ายซิ่นที่เคยประมือกับท่านอ๋อง ตระกูลหยางของพวกเขาได้อุทิศตนแก่อาณาจักรจ้าวมาหลายชั่วอายุคน ขยายอาณาเขต ปกป้องอาณาจักร ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความสำเร็จของตระกูลหยางเพคะ”

“สำหรับขุนนางผู้จงรักภักดีและเป็นแม่ทัพฝีมือฉกาจที่มีชื่อเสียง แต่เพราะมีนามสกุลนอก การได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพนั้นถือเป็นรางวัลที่สูงที่สุดของอาณาจักรจ้าวแล้วเพคะ”

ฉินเหยียนยิ่งฟังยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ฟังก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้

“คำพูดของเจ้าทำให้ข้าคิดถึงเรื่องๆหนึ่ง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์