องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 42

ฉินเหยียนใช้ชายเสื้อมาเช็ดปาก ฝีเท้าของเขาเริ่มโซเซและเอาแต่พูดไม่หยุด ในขณะที่เดินผ่านสมุหราชองครักษ์ เขาก็ได้ชักดาบของทหารองครักษ์ออกมา “ชิ้ง”

“เมามายเฝ้าฝันถึงข้าเปิดตะเกียงน้ำมันแล้วมองดาบ ราวกับได้หวนกลับไปยังช่วงเวลานั้น เสียงแตรดังอย่างต่อเนื่องในทุกมุมของค่ายทหาร”

สมุหราชองครักษ์ตกใจจนต้องถอยหลังไปสองก้าว

ฉินเหยียนหัวเราะอย่างโง่เขลาและแกว่งดาบในมืออย่างไร้เหตุผล

“แบ่งเหล้าให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ดื่มด่ำ และปล่อยให้เครื่องดนตรีบรรเลงเสียงทหารอันสง่างามเพื่อเพิ่มขวัญและกำลังใจ นี่คือขบวนแห่ทหารในฤดูใบไม้ร่วงในสนามรบ”

เขาพูดไปด้วยและแกว่งดาบไปมั่วด้วย ทุกคนต่างก็งงไปกับท่าทีที่น่าประหลาดของเขา

จ้าวจีเอ๋อร์เห็นสภาพขี้เมาของฉินเหยียนแล้วก็ทำเสียงเย็นชาประชดว่า “ทำท่าทำทาง!”

คณะทูตอาณาจักรจ้าวเองก็ต่างชี้ไปยังฉินเหยียนแล้วหัวเราะเยาะ

“เจ้าองค์ชายสิบสี่แห่งอาณาจักรฉินช่างปอดแหกเสียจริง ดื่มเหล้าเพื่อเพิ่มความกล้า”

“ช่างเป็นคนไร้ค่าจริงๆ ข้าจะรอดูนักรบอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรจ้าวของเราสังหารเขาอย่าไม่เปลืองแรง”

“สำหรับคนที่เปรียบดังโคลนที่ฉาบไม่ติดผนังอย่างเขา การได้ตายในน้ำมือของนักรบอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรจ้าวเช่นนี้ ถือว่าดีเกินไปแล้ว”

เหล่าข้าราชการอาณาจักรฉินเองก็เริ่มถกเถียงกัน

“องค์ชายสิบสี่คิดจะทำอะไรกันแน่ จะฆ่าตัวตายงั้นรึ”

“ยังไม่ได้สู้ก็เมาเสียแล้ว นี่รอให้อาณาจักรจ้าวมาฆ่าเขารึไง!”

“ดื่มเหล้าไปทั้งไหเช่นนั้น แค่ยืนยังไม่มั่นเลย เดินโซเซแล้วจะประลองได้อย่างไร!”

สีหน้าขององค์ชายแปดฉินอู่ราวกับกำลังดูการแสดงอยู่ เจ้าสิบสี่แค่จับดาบยังไม่มั่นคงเลย ยังคิดจะประลองอีก รอคอยความตายเถอะ

มุมปากของฮองเฮาฉินซวงหลานเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา นางมีความรู้สึกว่าวันนี้จะเป็นวันตายของฉินเหยียน

ฉินเหยียนเอาแต่พึมพำกลอน ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินเสียงของคำพูดเหล่านั้นเลย

“ม้าศึกมีความเร็วประดุจดั่งเต๊กเลา ลูกธนูที่รวดเร็วปานสายฟ้า”

เขาเดินโซเซขึ้นไปลานประลองโดยใช้ดาบในมือเป็นไม้ยัน เพื่อทรงตัวให้ยืนไว้ได้อย่างมั่นคง

จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้ออย่างแรงแล้วตะโกนไปบนฟ้าว่า “ข้าปรารถนาที่จะทำภารกิจยิ่งใหญ่เพื่อกอบกู้ดินแดนที่สูญหายของอาณาจักรคืน เพื่อให้ชื่อเสียงอันดีสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น พอตื่นจากความฝัน น่าเสียดายที่มีเพียงผมหงอก!”

คำพูดที่กล้าหาญเหล่านี้ทำให้ทุกคนรู้สึกเศร้าใจตามๆกัน

“จุ๊ องค์ชายสิบสี่คิดจะเสียสละอย่างกล้าหาญ”

“กลอนนี้เผยให้เห็นความหมายของการเสียสละชีวิตเพื่ออาณาจักรอย่างเห็นได้ชัด!”

และในขณะนี้ใบหน้าของฮ่องเต้ฉินเองก็ตึงเครียดอย่างมาก แววตาของเขาเต็มไปด้วยความทำใจไม่ได้ แต่บัดนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้ว เขาได้สาบานในใจว่า หากนักรบอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรจ้าวลงมือสังหารลูกชายของเขาจริงๆ งั้นเขาจะนำทัพไปกวาดล้างอาณาจักรจ้าว!

จ้าวจือหย่าที่อยู่ในมุมหลบหน้าแล้วร้องไห้ ฉินเหยียนมีความสามารถมากเพียงนี้ ต่อให้รู้ถึงผลลัพธ์การประลองกับอาณาจักรจ้าว ว่าจะต้องจบลงด้วยการสิ้นลมหายใจ แต่เขาก็ยังคงไม่ยี่หระต่อความตายใดๆทั้งสิ้น

ด้วยจิตวัญญาณ ความกล้าหาญ และความสามารถเช่นนี้ เกรงว่าจะหาคนเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว หากวันนี้ฉินเหยียนเสียชีวิตบนสังเวียนจริง งั้นนางจ้าวจือหย่าจะต้องตายตามเขาไปแน่นอน จะไม่ยอมมีชีวิตอยู่คนเดียวในพระราชวังท่ามกลางคนกลัวตายที่เยินยอผู้สูงส่งเหยียบย่ำผู้ต่ำต้อยกว่า!

นักรบอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรจ้าวไม่เห็นฉินเหยียนอยู่ในสายตา เขากอดอกแล้วมองต่ำลงมา มองฉินเหยียนราวกับตัวตลก

ฉินเหยียนสติเลือนราง ใบหน้าแดงก่ำ ดาบในมือราวกับหนักถึงพันปอนด์ มันชักจูงร่างของเขาเซไปมา กว่าจะถือดาบขึ้นมาได้ แต่พอแกว่งไปกลางอากาศไม่ทันไรร่างของเขาก็โซเซ ราวกับจะล้มลงกองกับพื้นไปได้ทันที

เหล่าข้าราชการอาณาจักรฉินแทบจะดูต่อไม่ไหว ต่างส่ายหน้าแล้วพูดอย่างรังเกียจว่า

“องค์ชายสิบสี่ช่างอัปยศอดสูจริงๆ!”

“ขายหน้าเช่นนี้ ให้นักรบแห่งอาณาจักรจ้าวฆ่าเขาไปเลยดีกว่า!”

“องค์ชายสิบสี่ช่างเป็นตัวซวยของอาณาจักรฉินจริงๆ! น่าขายหน้าจริงๆ!”

คณะทูตอาณาจักรจ้าวเองก็เริ่มโห่ฮาป่า

“ยอมแพ้เสียเถอะ ยอมรับว่าอาณาจักรฉินของพวกเจ้ามันไร้ความสามารถ จะยังรักษาชีวิตองค์ชายไร้ค่านี่ได้”

“องค์ชายแห่งอาณาจักรฉินล้วนมีสารรูปเช่นนี้ ยังกล้าพูดว่าเป็นอาณาจักรแห่งวิชายุทธ์อีกนะ อยากจะหัวเราะให้ฟันหลุดจริงๆ!”

จ้าวอู๋ตี๋เผยสีหน้าที่ทุกอย่างเป็นไปตามคาดเอาไว้ แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “อย่ามัวเสียเวลา ฆ่าเขาซะ!”

นักรบอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรจ้าวหักข้อนิ้วแล้วส่ายหัวพร้อมพูดว่า “ริอ่านดูหมิ่นองค์หญิงสามของข้า วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตายคามือ!”

เมื่อสิ้นเสียงเขาก็กำหมัดแล้วพุ่งไปยังฉินเหยียนทันที

ทุกคนต่างสูดลมหายใจอย่างตะลึง หากถูกกำปั้นขนาดเท่าหม้อตุ๋นถูกทุบลงละก็ ชีวิตขององค์ชายสิบสี่คงไม่รอดแน่นอน ข้าราชการขวัญอ่อนบางคนถึงกับปิดตาเอาไว้แล้วก้มหน้า ไม่กล้ามองภาพอาบเลือด

แต่ฉินเหยียนราวกับไม่ได้ยิน เขายังคงแกว่งดาบในมือไปมั่ว แล้วยังพึมพำด้วยว่า “ทั้งหมดนี้มันได้ผ่านไปแล้ว การจะได้ชื่อว่าเป็นวีรชนที่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยคนสมัยนี้!”

และในขณะที่นักรบแห่งอาณาจักรจ้าวอยู่ในระยะประชิดฉินเหยียนแล้ว ฉินเหยียนก็ได้ขยับร่างของเขาและแกว่งดาบในมือไปที่นักรบแห่งอาณาจักรจ้าว เพียงแค่แกว่งไปทั่วเท่านั้น

“ต้องดูปัจจุบัน!”

พริบตานั้นร่างของนักรบแห่งอาณาจักรจ้าวก็ได้ยืนนิ่งอยู่กับที่ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เข่าของเขากระแทกลงกับพื้น ทันใดนั้นผิวหนังที่คอถูกฉีกออก และเลือดจากเส้นเลือดใหญ่ก็พุ่งออกมาสูงสองเมตร

ทุกคนอ้าปากค้างหัวใจเต้นไม่ตรงจังหวะไปกันหมด!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์