องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 60

พลบค่ำ

จ้าวจือหย่ากำลังรอที่ประตูตำหนักชีหลินอย่างมีความหวัง ฟ้าเริ่มมืดและฉิงเหยียนก็ยังไม่กลับมา

ไม่นานหลังจากนั้นนางก็เห็นฉินเหยียนในระยะไกล เขากำลังนำทหารชั้นยอดกลุ่มใหญ่ตรงมายังตำหนักชีหลินด้วยท่าทีที่แข็งแกร่ง

จ้าวจือหย่าจึงรีบออกไปต้อนรับ

"ยินดีกับองค์ชายสิบสี่ อ่า มิใช่ ขอต้อนรับการเสด็จกลับมาของอ๋องเหยียนเพคะ"

ฉินเหยียนโอบจ้าวจือหย่าไว้ในอ้อมอก จากนั้นจึงจูบนางแล้วยิ้มอย่างร้ายกาจ

"คนงาม คิดถึงข้าหรือไม่?"

เหล่าทหารชั้นยอดและองครักษ์ที่เห็นฉากนี้ไม่รู้จะมองไปทางใดและต่างเกาศีรษะด้วยความกระอักกระอ่วน

จ้าวจือหย่ารู้สึกเขินอายมากยิ่งขึ้น คนเจ้าชู้ผู้นี้ใกล้ชิดกับนางโดยไม่สนใจสายตาของผู้คนมากมายที่อยู่เบื้องหน้า อายจะแย่แล้ว นางจึงพยายามดิ้นรนที่จะผลักฉินเหยียนออกไป

"อย่าซนสิเพคะ มีคนมากมายกำลังมองดูอยู่นะเพคะ!"

ยิ่งนางดิ้นรนมากเท่าใดฉินเหยียนก็ยิ่งกอดนางแน่นขึ้นเท่านั้น

"กลัวอะไร พวกเขาล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น มา นี่ภรรยาใหญ่ของข้า เรียกอาซ้อสิ?"

เหล่าทหารชั้นยอดต่างก็ตกตะลึง อะไรกัน อาซ้อคืออะไร เป็นคำเรียกใหม่หรือว่าเป็นตำแหน่งใหม่หรือ?

เมื่อคิดไม่ออกก็ไม่คิดแล้ว ให้พวกเขาเรียกก็เรียก

พวกเขาจึงตะโกนพร้อมกันว่า

"ข้าน้อยคารวะอาซ้อ!"

ฉินเหยียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

"วันหลังพวกเจ้าต้องเปลี่ยนวิธีการพูด ข้าน้อยอะไรทิ้งไปเสีย เราทุกคนล้วนเป็นพี่น้องกัน ต่อไปก็ทักทายว่าสวัสดีอาซ้อ! เข้าใจหรือไม่?"

"สวัสดีอาซ้อ!"

พวกเขาตะโกนพร้อมกันอีกครั้งด้วยเสียงอันดัง

จ้าวจือหย่ารู้สึกอับอายมากจนใบหน้าของนางแดงราวกับก้นลิงจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย

"ฝ่าบาทเพคะ เสวยพระกระยาหารก่อนเถิด หากยังไม่เสวยประเดี๋ยวจะเย็นเสียหมดเพคะ"

เมื่อพูดถึงการกินฉินเหยียนก็รู้สึกหิวเล็กน้อย เพราะว่าเขายังมีเรื่องที่จะต้องมอบหมายจึงกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า

"พี่น้อง กลับบ้านแล้วถอดชุดเกราะออกและเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดาแต่ต้องพกดาบด้วยนะ คืนนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปดื่มกิน แล้วไปโรงหญิงโสเภณี!"

เมื่อได้ยินคำพูดนี้จ้าวจือหย่าก็มีใบหน้าที่มืดครึ้ม ฉินเหยียนนะฉินเหยียน เจ้ามีนิสัยเจ้าชู้ มิใช่คนดีจริงๆ

เหล่าทหารชั้นยอดและองครักษ์ส่วนตัวต่างก็งุนงงเช่นกัน พวกเขาไม่รู้ว่าฉิงเหยียนมีจุดประสงค์อันใดแต่ก็ไม่กล้าถาม ในเมื่อความสุขเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้มิสู้เชื่อฟังแต่โดยดีและสนุกไปกับทุกช่วงเวลาจะดีกว่า

จึงกล่าวขึ้นพร้อมกันว่า

"ขอรับ!"

ฉินเหยียนเข้าไปในห้องโถงใหญ่โดยมีจ้าวจือหย่าอยู่ในอ้อมแขน เมื่อเห็นอาหารอันโอชะอยู่บนโต๊ะเขาก็อดมิได้ที่จะจูบไปบนใบหน้าของจ้าวจือหย่าอีกครั้ง

"คนงาม เก่งจริงๆ ทำอาหารอันโอชะให้ข้าทั้งโต๊ะเช่นนี้"

จ้าวจือหย่าถูกฉินเหยียนเอาเปรียบอีกครั้ง นางจึงกล่าวด้วยความเขินอายว่า

"อย่าซนสิเพคะฝ่าบาท ท่านเล่าเรื่องที่ได้รับพระราชทานรางวัลที่ท้องพระโรงในวันนี้ให้ข้าฟังสักหน่อยสิเพคะ"

ฉินเหยียนเช็คปลายจมูกของจ้าวจือหย่าเบาๆ

"มา นั่งลงกินข้าวเป็นเพื่อนข้า พวกเรากินไปคุยไป"

ก่อนที่จ้าวจือหย่าจะทันโต้ตอบฉินเหยียนก็ดึงนางลงมานั่งข้างๆเขา

"ฝ่าบาทเพคะ ผู้สูงส่งและผู้ต่ำต้อยแตกต่างกัน ข้ามิอาจยืนและนั่งอย่างเท่าเทียมและร่วมรับประทานอาหารกับท่านได้ นี่เป็นข้อห้ามของราชวงศ์เพคะ"

"ไร้สาระทั้งนั้น เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า กินข้าวกับข้าแล้วจะเป็นอย่างไร?"

ฉินเหยียนคีบชิ้นเนื้อแล้วยื่นไปยังเบื้องหน้าของจ้าวจือหย่า

"อ้าปาก อา!"

"ฝ่าบาท!"

"กิน!"

ไม่มีทางอื่น จ้าวจือหย่าอ้าปากอันจิ้มลิ้มของนางด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อเมื่อฉินเหยียนป้อนอาหารให้นาง

ความรู้สึกเช่นนี้ยากจะบรรยาย พูดง่ายๆก็คือจ้าวจือหย่ารู้สึกทั้งปิติและขี้อาย ทั้งยังมีร่องรอยของความสุขอีกด้วย

"ดีมาก!"

"เมื่อเจ้าติดตามข้าเจ้าต้องกำจัดความเคยชินของเจ้าให้หมด อยู่กับข้าไม่มีกฎเกณฑ์มากมายที่ว่าบุรุษอยู่เหนือกว่าสตรี ดังคำที่ว่าสตรีแบกฟ้าไว้ครึ่งหนึ่ง อยู่กับข้าบุรุษและสตรีต่างเท่าเทียมกัน ธรรมเนียมเก่าเหล่านั้นละทิ้งไปให้หมด"

"ฝ่าบาทเพคะ สิ่งนี้ขัดกับกฎเกณฑ์นะเพคะ"

"จึ๊"

ฉินเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า

"กฎเกณฑ์อะไรกัน คนก็คือคน ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนเกิดจากบิดามารดา ผู้ใดเกิดมาด้อยกว่ากันอะไรไร้สาระ! องค์ชายแล้วอย่างไร องค์ชายคือสวรรค์หรือ มิใช่ ประชาชนคือสวรรค์ น้ำพยุงเรือได้ก็สามารถล่มเรือได้ เจ้าต้องเข้าใจเหตุผลข้อนี้"

"นี่...."

ทัศนคติสามด้านของจ้าวจือหย่าถูกฉินเหยียนแก้ไขอีกครั้ง

นางไม่เข้าใจจริงๆว่าเหตุใดฉิงเหยียนจึงพูดจาไร้สาระได้ถึงเพียงนี้ ทว่านี่กลับทำให้นางชื่นชมเป็นอย่างมาก

หากหลักการนี้ถูกพูดออกไปคงจะถูกผู้คนในโลกประนาม

ทว่าฉินเหยียนกลับพูดได้ตรงกับใจของนาง ทุกๆประโยคทุกๆคำพูดล้วนทำให้นางรู้สึกเลื่อมใส

"ฝ่าบาท หากเป็นไปตามที่ท่านกล่าวไว้ สตรีก็สามารถเข้าวังได้ สามารถเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นขุนนางได้ ข้อความนี้ขัดแย้งกับระบอบบรรพบุรุษและวิถีแห่งสวรรค์"

ฉินเหยียนคีบผักจำนวนมากลงในชามของจ้าวจือหย่าและกล่าวด้วยใบหน้าเย็นชาว่า

"นี่เป็นแนวคิดที่ล้าสมัยและจู้จี้จุกจิก หากข้าอยู่ในอำนาจสิ่งแรกที่ข้าจะทำก็คือประกาศว่าในใต้หล้านี้ทุกคนเท่าเทียมกัน สตรีก็สามารถเข้าวัง เข้าสำนักศึกษา เข้าร่วมการสอบขุนนาง และเป็นขุนนางรับใช้ราชสำนัก นี่มีสิ่งใดที่ไม่เหมาะหรือ?"

"ปัง"

จ้าวจือหย่ายืนขึ้นด้วยความตกตะลึงพลางมองไปรอบๆอย่างประหม่าและคุกเข่าลงอย่างตื่นเต้น

"ฝ่าบาทมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ข้าเลื่อมใสนัก นับจากนี้ไปข้าเต็มใจที่จะรับใช้ฝ่าบาทและเชื่อฟังคำสั่งของท่าน ชีวิตนี้หากคิดทรยศ ขอให้ถูกฟ้าผ่าและไม่ตายดี!"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์