หออี๋หงที่เต็มไปด้วยเสียงร้องเพลง เสียงคนพูดคุย ชนแก้วกันอย่างสนุกสนาน ฉากหน้าดูสำมะเลเทเมาแค่ไหน ความเป็นจริงก็ยิ่งมีเรื่องเหลวแหลกมากเท่านั้น
บรรดาหญิงสาวสวยกำลังทำท่าทำทาง และนักดื่มจากมากมายเดินกันโซซัดโซเซ
จ้าวจือหย่ามุ่งหน้าไปอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นจู่ๆ ก็มีชายร่างสูงใหญ่ขวางทางนาง โอบนางไว้ในอ้อมแขน โยกแก้วเหล้าในมือพลางพูดว่า
“มาเถิดคนสวย มาดื่มเป็นเพื่อนข้า!”
จ้าวจือหย่าที่ในใจนั้นตื่นตระหนก แต่ต้องแสร้งทำเป็นนิ่งพูดออกไปว่า
“รอสัญญาณแก้วแตก”
ท่าทีของชายคนนั้นเปลี่ยนไป จากนั้นปล่อยจ้าวจือหย่าเป็นอิสระ นางจึงรีบเดินไปทางอื่นทันที
ทันทีที่จ้าวจือหย่าหันตัวกลับมา นางพลันถูกชายร่างสูงใหญ่อีกคนหนึ่งหยุดไว้
“มาเถิดสาวน้อย มาดื่มกับข้าสักสองแก้วแล้วค่อยไปเถิด!”
จ้าวจือหย่าเดินไปที่โต๊ะของเขาด้วยรอยยิ้มและกระซิบข้างหูว่า
“รอสัญญาณแก้วแตก”
ชายคนน้นดูอึ้งไปเช่นกัน พยักหน้าเข้าใจ และโบกมือเรียกนางโลมคนอื่นแทน
“มาเถิดสาวน้อย ดื่มกับพี่สักสองแก้วแล้วค่อยไป!”
จ้าวจือหย่าเดินหนีไปและลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ฟู่”
ก่อนที่นางจะทันสงบสติอารมณ์เสร็จ จู่ๆ พลันมีนางโลมคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น คว้าแขนของนาง มองจ้าวจือหย่าด้วยสายตาสงสัยแล้วถามว่า
“เอ๋ น้อง ทำไมพี่มองหน้าเจ้าแล้วดูคุ้นมาก เจ้าคือ..”
“ชู่ว!”
จ้าวจือหย่าแสร้งทำเป็นตื่นตระหนก มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง แล้วกระซิบบอกนางโลมคนนั้นว่า
“รอสัญญาณแก้วแตก!”
ท่าทีของนางโลมคนนั้นเปลี่ยนไปในทันที นางย่อตัวลง กระพริบตา และกำหมัดซ้ายข้อนไปที่อกข้างซ้ายแล้วพูดอย่างจริงจังว่า
“จงรักภักดีต่ออาณาจักรจ้าว!”
จ้าวจือหย่าได้เรียนรู้ท่าทางการสื่อสารภายในของพวกเขา เดินไปจุดอื่นอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นคนอื่นเดินเข้ามา จึงทำท่าทางที่เพิ่งเรียนรู้มา หลอกได้ถึงสามคนในเวลาติดต่อกัน
ในใจจ้าวจือหย่าไม่ได้ประหม่าเหมือนอย่างตอนแรกอีกต่อไปแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่านางพูดและทำท่าทีสงบมากขึ้น ทำให้คนอื่นไม่สงสัยนางอีกต่อไป
ทหารชั้นดีสังเกตเห็น สงสัยว่าทำไมจ้าวจือหย่าถึงสวมชุดของนางโลม ก้าวไปข้างหน้าถามด้วยความสงสัยว่า
“อาซ้อ ทำไมท่านถึงสวมชุด...”
“ชู่ว”
ก่อนที่เขาจะได้ทันพูดจบ จ้าวจือหย่ารีบส่งสัญญาณให้หยุดพูดและกระซิบกับเขาว่า
“รอสัญญาณถ้วยแตก”
ทหารชั้นดีคนนั้นพลันตระหนักได้ทันทีว่านี่คือข้อความที่อ๋องเหยียนส่งมาให้พวกเขา จึงพยักหน้าเล็กน้อย
“รับทราบ!”
จ้าวจือหย่าพูดกับทุกคนว่า “รอสัญญาณแก้วแตก” คนที่เข้าใจก็ไม่เข้ามาขวางทางนางอีกต่อไป
การเดินสอดแนมของจ้าวจือหย่าเป็นไปอย่างราบรื่น นางเดินจากชั้นหนึ่งไปยังชั้นสาม เมื่อไม่มีใครสนใจนางจึงพยายามจับนั่นจับนี่ ผลักและเคาะทุกๆ จุดที่นางทำได้ และทำให้นางได้พบกับส่วนที่แตกต่างจากที่อื่น
ภายในไม่กี่นาทีต่อมา จ้าวจือหย่าก็สำรวจทุกมุมของหออี๋หงอีกรอบ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรตกหล่น นางจึงเดินกลับไป
...
ห้องท้องฟ้าหมายเลขหนึ่ง
องค์ชายใหญ่และเสนาบดีกรมอาญากำลังวางแผนที่จะฟ้องร้ององค์ชายสิบสี่
ทหารคุ้มกันรีบเดินเข้ามารายงานว่า
“องค์ชาย เมื่อครู่มีคนบอกข้าว่าให้รอสัญญาณแก้วแตก ตัวกระหม่อมนั้นไม่เข้าใจจึงมาที่นี่เพื่อทูลถามขอรับ”
“รอสัญญาณแก้วแตก?”
องค์ชายใหญ่และเสนาบดีกรมอาญาขมวดคิ้วพร้อมกันทันที
“หมายความว่าอะไรกัน?”
ทั้งสองกวาดสายตามองออกไปยังด้านนอกหน้าต่างทันที
...
ห้องท้องฟ้าหมายเลขหก
ฉินเหยียนเห็นทุกการกระทำของจ้าวจือหย่าผ่านทางหน้าต่าง อดไม่ได้ที่แอบลอบถอนหายใจ เก่งจริงๆ!
ในสมัยโบราณ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสายลับ สายสืบ หน่วยสอดแนม หรือหน่วยกล้าตาย ทุกๆ อย่างจึงต้องปิดบังและซ่อนเอาไว้ให้มิดชิด
อย่ามองว่าจ้าวจือหย่ามาจากครอบครัวบัณฑิตและเป็นผู้หญิง เพียงแค่ฝึกฝนนางให้ดี นางสามารถเป็นหน่วยปฏิบัติการลับที่ยอดเยี่ยมในอนาคตได้แน่นอน
จ้าวจือหย่าผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
“องค์ชาย”
“คนสวยกลับมาแล้วหรือ พบอะไรหรือไม่?”
จ้าวจือหย่านั่งลงด้วยความตื่นเต้น เขียนและวาดภาพบนโต๊ะด้วยนิ้วที่เปียกน้ำ
“มีห้องใต้ดินอยู่ห้องหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ มีช่องทางลับอยู่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ชั้นสามห้องท้องฟ้าหมายเลขสาม และห้องพื้นดินหมายเลขสาม ด้านหลังเตียงมีประตูลับอยู่ แต่ข้ายังหากลไกมันไม่เจอ”
ฉินเหยียนอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้จ้าวจือหย่า
ความสามารถในการปรับตัวและความสามารถในการสังเกต สวรรค์สร้างนางมาให้เหมาะสมที่จะเป็นหน่วยปฏิบัติการลับจริงๆ
เขาโอบจ้างจือหย่าในอ้อมแขนแล้วพูดเบาๆ ว่า
“เยี่ยมมากสาวน้อย เจ้าทำได้ดีมาก!”
หน้าของจ้าวจือหย่าแดงก่ำ นางมีความสุขทุกครั้งที่นางสามารถทำอะไรบางอย่างให้ฉินเหยียนได้
ในเวลานี้ ต้าจ้วงรีบเข้ามา พร้อมรายงานด้วยเสียงต่ำ
ฉินเหยียนโยกมือปัด แล้วพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า
“ไม่จำเป็นต้องกระซิบข้าแล้ว เป็นคนของเราเองด้วยกันทั้งนั้น พูดออกมาได้เลย!”
ต้าจ้วงมองไปรอบๆ สายตาจับจ้องไปที่จ้าวจีเอ๋อร์ที่ถูกทหารชั้นดีสี่คนคุมตัวอยู่ เช่นเดียวกับแม่เล้าซ่งและนางโลม
ถือว่าเป็นคนของเราได้อย่างไรกัน!
“รายงานอ๋องเหยียน หออี๋หงถูกคนของเราคุมไว้หมดแล้วทุกชั้น ทั้งด้านในและด้านนอก พร้อมจะจับกุมไส้ศึกของอาณาจักรจ้าวได้ตลอดเวลาขอรับ”
ฉินเหยียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ตั้งใจพูดยุแยงว่า
“นางทาส เจ้าได้ยินหรือไม่? คนของข้าคุมหออี๋หงไว้แล้ว เจ้าอย่าได้หวังเลยว่าจะมีคนมาช่วยเจ้า เจ้าทำได้แค่เชื่อฟังข้าก็เท่านั้น”
จ้าวจีเอ๋อร์ถ่มน้ำลาย พร้อมกัดฟันพูดว่า
“ถุย ฝันไปเถอะ ใครจะเป็นคนหัวเราะคนสุดท้ายก็ยังไม่แน่นอน เมื่อถึงเวลาเจ้าแพ้ ข้าจะพาเจ้าไปยังอาณาจักรจ้าว ให้เจ้าได้รู้ว่าชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายมันเป็นอย่างไร!”
ฉินเหยียนแคะขี้หูอย่างเมินเฉย
“จุ๊ๆๆ พูดเช่นนี้ข้ากลัวมากเลย”
จากนั้นเขาก็พูดกับต้าหย่งและต้าจ้วงว่า
“ลงไปเตรียมตัวเถอะ การแสดงจะเริ่มขึ้นเร็วๆ นี้”
“รับทราบ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์