องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 67

หออี๋หงที่เต็มไปด้วยเสียงร้องเพลง เสียงคนพูดคุย ชนแก้วกันอย่างสนุกสนาน ฉากหน้าดูสำมะเลเทเมาแค่ไหน ความเป็นจริงก็ยิ่งมีเรื่องเหลวแหลกมากเท่านั้น

บรรดาหญิงสาวสวยกำลังทำท่าทำทาง และนักดื่มจากมากมายเดินกันโซซัดโซเซ

จ้าวจือหย่ามุ่งหน้าไปอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นจู่ๆ ก็มีชายร่างสูงใหญ่ขวางทางนาง โอบนางไว้ในอ้อมแขน โยกแก้วเหล้าในมือพลางพูดว่า

“มาเถิดคนสวย มาดื่มเป็นเพื่อนข้า!”

จ้าวจือหย่าที่ในใจนั้นตื่นตระหนก แต่ต้องแสร้งทำเป็นนิ่งพูดออกไปว่า

“รอสัญญาณแก้วแตก”

ท่าทีของชายคนนั้นเปลี่ยนไป จากนั้นปล่อยจ้าวจือหย่าเป็นอิสระ นางจึงรีบเดินไปทางอื่นทันที

ทันทีที่จ้าวจือหย่าหันตัวกลับมา นางพลันถูกชายร่างสูงใหญ่อีกคนหนึ่งหยุดไว้

“มาเถิดสาวน้อย มาดื่มกับข้าสักสองแก้วแล้วค่อยไปเถิด!”

จ้าวจือหย่าเดินไปที่โต๊ะของเขาด้วยรอยยิ้มและกระซิบข้างหูว่า

“รอสัญญาณแก้วแตก”

ชายคนน้นดูอึ้งไปเช่นกัน พยักหน้าเข้าใจ และโบกมือเรียกนางโลมคนอื่นแทน

“มาเถิดสาวน้อย ดื่มกับพี่สักสองแก้วแล้วค่อยไป!”

จ้าวจือหย่าเดินหนีไปและลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ฟู่”

ก่อนที่นางจะทันสงบสติอารมณ์เสร็จ จู่ๆ พลันมีนางโลมคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น คว้าแขนของนาง มองจ้าวจือหย่าด้วยสายตาสงสัยแล้วถามว่า

“เอ๋ น้อง ทำไมพี่มองหน้าเจ้าแล้วดูคุ้นมาก เจ้าคือ..”

“ชู่ว!”

จ้าวจือหย่าแสร้งทำเป็นตื่นตระหนก มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง แล้วกระซิบบอกนางโลมคนนั้นว่า

“รอสัญญาณแก้วแตก!”

ท่าทีของนางโลมคนนั้นเปลี่ยนไปในทันที นางย่อตัวลง กระพริบตา และกำหมัดซ้ายข้อนไปที่อกข้างซ้ายแล้วพูดอย่างจริงจังว่า

“จงรักภักดีต่ออาณาจักรจ้าว!”

จ้าวจือหย่าได้เรียนรู้ท่าทางการสื่อสารภายในของพวกเขา เดินไปจุดอื่นอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นคนอื่นเดินเข้ามา จึงทำท่าทางที่เพิ่งเรียนรู้มา หลอกได้ถึงสามคนในเวลาติดต่อกัน

ในใจจ้าวจือหย่าไม่ได้ประหม่าเหมือนอย่างตอนแรกอีกต่อไปแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่านางพูดและทำท่าทีสงบมากขึ้น ทำให้คนอื่นไม่สงสัยนางอีกต่อไป

ทหารชั้นดีสังเกตเห็น สงสัยว่าทำไมจ้าวจือหย่าถึงสวมชุดของนางโลม ก้าวไปข้างหน้าถามด้วยความสงสัยว่า

“อาซ้อ ทำไมท่านถึงสวมชุด...”

“ชู่ว”

ก่อนที่เขาจะได้ทันพูดจบ จ้าวจือหย่ารีบส่งสัญญาณให้หยุดพูดและกระซิบกับเขาว่า

“รอสัญญาณถ้วยแตก”

ทหารชั้นดีคนนั้นพลันตระหนักได้ทันทีว่านี่คือข้อความที่อ๋องเหยียนส่งมาให้พวกเขา จึงพยักหน้าเล็กน้อย

“รับทราบ!”

จ้าวจือหย่าพูดกับทุกคนว่า “รอสัญญาณแก้วแตก” คนที่เข้าใจก็ไม่เข้ามาขวางทางนางอีกต่อไป

การเดินสอดแนมของจ้าวจือหย่าเป็นไปอย่างราบรื่น นางเดินจากชั้นหนึ่งไปยังชั้นสาม เมื่อไม่มีใครสนใจนางจึงพยายามจับนั่นจับนี่ ผลักและเคาะทุกๆ จุดที่นางทำได้ และทำให้นางได้พบกับส่วนที่แตกต่างจากที่อื่น

ภายในไม่กี่นาทีต่อมา จ้าวจือหย่าก็สำรวจทุกมุมของหออี๋หงอีกรอบ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรตกหล่น นางจึงเดินกลับไป

...

ห้องท้องฟ้าหมายเลขหนึ่ง

องค์ชายใหญ่และเสนาบดีกรมอาญากำลังวางแผนที่จะฟ้องร้ององค์ชายสิบสี่

ทหารคุ้มกันรีบเดินเข้ามารายงานว่า

“องค์ชาย เมื่อครู่มีคนบอกข้าว่าให้รอสัญญาณแก้วแตก ตัวกระหม่อมนั้นไม่เข้าใจจึงมาที่นี่เพื่อทูลถามขอรับ”

“รอสัญญาณแก้วแตก?”

องค์ชายใหญ่และเสนาบดีกรมอาญาขมวดคิ้วพร้อมกันทันที

“หมายความว่าอะไรกัน?”

ทั้งสองกวาดสายตามองออกไปยังด้านนอกหน้าต่างทันที

...

ห้องท้องฟ้าหมายเลขหก

ฉินเหยียนเห็นทุกการกระทำของจ้าวจือหย่าผ่านทางหน้าต่าง อดไม่ได้ที่แอบลอบถอนหายใจ เก่งจริงๆ!

ในสมัยโบราณ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสายลับ สายสืบ หน่วยสอดแนม หรือหน่วยกล้าตาย ทุกๆ อย่างจึงต้องปิดบังและซ่อนเอาไว้ให้มิดชิด

อย่ามองว่าจ้าวจือหย่ามาจากครอบครัวบัณฑิตและเป็นผู้หญิง เพียงแค่ฝึกฝนนางให้ดี นางสามารถเป็นหน่วยปฏิบัติการลับที่ยอดเยี่ยมในอนาคตได้แน่นอน

จ้าวจือหย่าผลักประตูแล้วเดินเข้าไป

“องค์ชาย”

“คนสวยกลับมาแล้วหรือ พบอะไรหรือไม่?”

จ้าวจือหย่านั่งลงด้วยความตื่นเต้น เขียนและวาดภาพบนโต๊ะด้วยนิ้วที่เปียกน้ำ

“มีห้องใต้ดินอยู่ห้องหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ มีช่องทางลับอยู่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ชั้นสามห้องท้องฟ้าหมายเลขสาม และห้องพื้นดินหมายเลขสาม ด้านหลังเตียงมีประตูลับอยู่ แต่ข้ายังหากลไกมันไม่เจอ”

ฉินเหยียนอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้จ้าวจือหย่า

ความสามารถในการปรับตัวและความสามารถในการสังเกต สวรรค์สร้างนางมาให้เหมาะสมที่จะเป็นหน่วยปฏิบัติการลับจริงๆ

เขาโอบจ้างจือหย่าในอ้อมแขนแล้วพูดเบาๆ ว่า

“เยี่ยมมากสาวน้อย เจ้าทำได้ดีมาก!”

หน้าของจ้าวจือหย่าแดงก่ำ นางมีความสุขทุกครั้งที่นางสามารถทำอะไรบางอย่างให้ฉินเหยียนได้

ในเวลานี้ ต้าจ้วงรีบเข้ามา พร้อมรายงานด้วยเสียงต่ำ

ฉินเหยียนโยกมือปัด แล้วพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า

“ไม่จำเป็นต้องกระซิบข้าแล้ว เป็นคนของเราเองด้วยกันทั้งนั้น พูดออกมาได้เลย!”

ต้าจ้วงมองไปรอบๆ สายตาจับจ้องไปที่จ้าวจีเอ๋อร์ที่ถูกทหารชั้นดีสี่คนคุมตัวอยู่ เช่นเดียวกับแม่เล้าซ่งและนางโลม

ถือว่าเป็นคนของเราได้อย่างไรกัน!

“รายงานอ๋องเหยียน หออี๋หงถูกคนของเราคุมไว้หมดแล้วทุกชั้น ทั้งด้านในและด้านนอก พร้อมจะจับกุมไส้ศึกของอาณาจักรจ้าวได้ตลอดเวลาขอรับ”

ฉินเหยียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ตั้งใจพูดยุแยงว่า

“นางทาส เจ้าได้ยินหรือไม่? คนของข้าคุมหออี๋หงไว้แล้ว เจ้าอย่าได้หวังเลยว่าจะมีคนมาช่วยเจ้า เจ้าทำได้แค่เชื่อฟังข้าก็เท่านั้น”

จ้าวจีเอ๋อร์ถ่มน้ำลาย พร้อมกัดฟันพูดว่า

“ถุย ฝันไปเถอะ ใครจะเป็นคนหัวเราะคนสุดท้ายก็ยังไม่แน่นอน เมื่อถึงเวลาเจ้าแพ้ ข้าจะพาเจ้าไปยังอาณาจักรจ้าว ให้เจ้าได้รู้ว่าชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายมันเป็นอย่างไร!”

ฉินเหยียนแคะขี้หูอย่างเมินเฉย

“จุ๊ๆๆ พูดเช่นนี้ข้ากลัวมากเลย”

จากนั้นเขาก็พูดกับต้าหย่งและต้าจ้วงว่า

“ลงไปเตรียมตัวเถอะ การแสดงจะเริ่มขึ้นเร็วๆ นี้”

“รับทราบ!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์