อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ นิยาย บท 278

“ข้าได้ยินมาว่าสุดถนนเจิ้งหยางมีร้านขาหมูย่างเปิดใหม่ กลิ่นหอมเป็นพิเศษ...หอมชนิดว่าไกลสิบลี้เลยล่ะ”

หยุนหว่านหนิงสูดลมหายใจเข้าลึก ทำอย่างกับได้กลิ่นขาหมูย่าง

นางมองโม่ฮั่นอี่ว์ด้วยหางตา เห็นดวงตาทั้งสองของเขาเปล่งประกาย...

“จริงหรือ!”

น้ำลายเขาแทบหก “เจ้าไม่ได้หลอกข้านะ”

“ข้าจะหลอกท่านทำไม”

หยุนหว่านหนิงทำหน้าบริสุทธิ์ “เห็นว่าขาหมูย่างร้านนั้นอร่อยเหาะไปเลย! มีคนต่อแถวยาวเหยียดทุกวัน ถ้าไปช้า คงไม่ได้กินแล้วล่ะ!”

“ขอบใจที่บอก! ข้าไปก่อนล่ะ!”

ยามนี้เงาร่างอ้วนตุ๊ต๊ะของโม่ฮั่นอี่ว์ดูคล่องแคล่วเป็นพิเศษ

หายไปจากปากซอยราวกับสายลมวูบ

ได้ยินเสียงของเขาดังมาจากที่ไกลๆ “อย่าลืมเชิญข้ากินข้าววันพรุ่งนี้นะ!”

“กินๆๆ รู้จักแต่กิน!”

อย่างกับราชาสุกรแน่ะ!

โม่เยว่คือราชาสุนัข โม่ฮั่นอี่ว์คือราชาสุกร สองพี่น้องเข้ากันสุดๆ ไปเลย!

หยุนหว่านหนิงคิดอยู่ในใจอย่างร้ายๆ

ทว่า ‘ผีเสื้อหลากสี’ ยังอยู่ที่นี่ เพื่อไว้หน้าให้โม่เยว่กับโม่ฮั่นอี่ว์เล็กน้อย...นางจึงไม่ได้พูดคำว่า ‘ราชาสุนัข’ กับ ‘ราชาสุกร’ ออกมา

หลังจากโม่ฮั่นอี่ว์จากไป ‘ผีเสื้อหลากสี’ ก็นอนสั่นพั่บๆ อยู่กับพื้น

“ผี...”

หยุนหว่านหนิงยังไม่ทันพูดออกมา ก็ได้ยินเขาตอบอย่างหวาดกลัว “กูหน่ายนาย หลานชายชื่อเปาจึขอรับ”

“หา?”

หยุนหว่านหนิงอึ้ง

หลานชาย?

เจ้านี่หัวไวแฮะ!

นางกอดอก มองเขาจากที่สูง “เปาจึ(*ซาลาเปา) ข้าว่าเจ้าก็เหมือนจริงๆ นั่นแหละ! เจ้าเข้าพรรคเหยเฟิงตั้งแต่เมื่อไร กฎของพรรคว่าอย่างไร จำได้หรือไม่”

“ได้...”

เปาจึตอบเสียงอ่อย

“ไหนลองท่องให้ข้าฟังสิ”

ท่าทางของหยุนหว่านหนิงในเวลานี้ ราวกับคุณครูวิชาภาษาจีน ที่สุ่มตรวจสอบนักเรียนให้ท่องบทเรียนในเวลาเรียน

เปาจึหดศีรษะ “ห้ามรังแกคนแก่ผู้หญิงเด็ก ห้ามปล้นคนแก่ผู้หญิงเด็ก ห้าม...”

“ผายลม!”

หยุนหว่านหนิงโมโหจนพ่นคำหยาบ “เจ้าลูกเต่าตัวไหนสอนเจ้าฮะ”

เปาจึถูกบรรยากาศรอบตัวนางทำให้ตกใจ กลืนน้ำลายลงอึก “กูหน่ายนายละเว้นข้าด้วยเถิด! ข้า ข้าไม่เอาไหนแต่เด็ก แม้แต่แม่ข้าแซ่อะไรก็จำไม่ได้”

“ถึงอย่างไร ถึงอย่างไรที่ข้าจำได้ก็คือเนื้อหาประมาณนี้”

อาจเพราะกลัวว่าหยุนหว่านหนิงจะซ้อมเขา เขาจึงคลานไปข้างหลังเงียบๆ

หยุนหว่านหนิงสูดลมหายใจลึก “ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ รีบไปจากตรงหน้าข้า!”

“ไสหัวไป!”

เปาจึตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้น ไสหัวไปด้วยความรวดเร็ว

“เดี๋ยว!”

เบื้องหลังมีเสียงของหยุนหว่านหนิงดังมาอีก เขาตกใจจนตัวแข็ง “ย่า กูหน่ายนายยังมีอะไรจะสั่งอีกหรือขอรับ”

“ให้มังกรตาเดียวมาพบข้าที่ประตูหลังจวนอ๋องยามซวี(*เวลา19.00-21.00น.)หนึ่งเค่อ(*15นาที) คืนนี้ ถ้าเขาช้าไปแค่เหมี่ยวเดียว ก็ถือหัวมาพบข้า!”

เปาจึสั่นหงึกหงัก รีบรับคำแล้วจากไป

เขาเพิ่งจะไป หยุนธิงธิงก็ตามมาแล้ว

นางมีเหงื่ออยู่เต็มหน้า เส้นผมเปียกแนบอยู่ที่หน้าผาก กระโปรงก็เปียกโชกเช่นกัน “พี่ใหญ่! ท่าน ท่านจะวิ่งเร็วเกินไปแล้วกระมัง!”

“แล้ว แล้วโจรวิ่งราวคนนั้นล่ะ”

“ไปแล้ว”

หยุนหว่านหนิงคืนถุงเงินให้นาง “แต่ถูกข้าซ้อมไปยกหนึ่ง”

เห็นรอยเลือดที่พื้น หยุนธิงธิงรับถุงเงินมาแล้วก็ยกนิ้วหัวแม่มือให้นาง “พี่ใหญ่ร้ายกาจจริงๆ!”

ในดวงตานางมีความเลื่อมใสเพิ่มขึ้นประมาณหนึ่ง

หยุนหว่านหนิงแค่นเสียงฮึเบาๆ “อยู่แล้ว!”

“ไปกันเถอะ”

นางล้วงผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมออกมา เช็ดเหงื่อให้หยุนธิงธิง “ตัวเจ้าชุ่มไปหมดแล้ว ระวังจะไม่สบาย! กลับไปเปลี่ยนชุดนี้ก่อนเถอะ”

“ไม่”

หยุนธิงธิงส่ายหน้าอย่างดื้อดึง “ซื้อของเล่นให้หยวนเป่าสุดที่รักก่อน”

หยุนหว่านหนิงเกลี้ยกล่อมไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องปล่อยนางไป

หลังจากซื้อของเล่นละขนมเป็นกอง หยุนธิงธิงก็กลับจวนกั๋วกงแบบเดินหนึ่งก้าวหันหลังสามครา

ขณะที่หยุนหว่านหนิงเข้าจวนอ๋อง โม่เยว่ได้พาหยวนเป่ากลับมาแล้ว

“ท่านแม่!”

หยวนเป่ากระโจนเข้าใส่อ้อมอกของนาง

หยุนหว่านหนิงวางของเล่นไว้บนพื้น จุ๊บเขาแรงๆ ทีหนึ่ง “ลูกรัก แค่ไม่เจอวันเดียว ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้าสูงขึ้นตั้งเยอะล่ะ”

ตั้งแต่กลับมาจากตำหนักสิงกง(*พระราชวังที่อยู่นอกเมืองหลวง) นางก็เหมือนกับเห็นหยวนเป่าสูงขึ้นได้ด้วยตาเปล่า

หรืออาจพูดได้ว่า ขณะที่อยู่ตำหนักสิงกง หยวนเป่าเติบโตได้เร็วมาก

ไขมันหน้าเด็กบนใบหน้าเขาหายไปแล้ว สูงชะลูดมากขึ้นไม่น้อยทีเดียว

น่าจะเป็นผลจากการปล่อยเลี้ยงที่ตำหนักสิงกงดี

ช่วงที่อยู่ในตำหนักสิงกงเป็นช่วงที่หยวนเป่ามีความสุขที่สุด กินอิ่มแล้วก็วิ่งทั่วเขาทั้งวัน ไม่อย่างนั้นก็นอนอาบแดดกับ ไทเฮากู้และโม่จงหราน

ขึ้นเขาชมนกชมไม้ ลงแม่น้ำดูปูดูปลา เล่นสนุกสนานทุกวัน

“ท่านแม่ดูสิ ข้าสูงขึ้นแล้วนะ”

หยวนเป่ายืนอยู่ข้างตัวนาง ยื่นมือเปรียบเทียบอยู่ที่ศีรษะ “เมื่อก่อนข้าสูงแค่ตรงนี้ของท่านแม่ ตอนนี้ถึงนี่แล้ว”

มองเขาเปรียบเทียบอย่างนี้แล้ว หยุนหว่านหนิงอดพยักหน้าไม่ได้ “สูงแล้วจริงๆ”

“อีกสักพัก หยวนเป่าของพวกเราก็สูงเท่าท่านพ่อได้แล้ว!” โม่เยว่เอ่ย

โม่เยว่เดินเข้ามาใกล้ รอยยิ้มเปื้อนเต็มหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความรัก

กับคำว่า ‘ท่านพ่อ’ ของเขา หยุนหว่านหนิงทำเป็นไม่ได้ยิน “วันนี้ข้าเจอกับสองเรื่องแปลกเจ้าอยากฟังหรือไม่”

“อยู่ที่เจ้ายินดีเล่าให้ข้าฟังหรือไม่”

โม่เยว่ยิ้ม จูงหยวนเป่าเข้าห้องโถง หรูอวี้เก็บของเล่นบนพื้นแล้วหอบเข้าไปอย่างว่องไว

“เจ้าลูกชาย ของเหล่านี้เป็นของเล่นที่น้าของเจ้าซื้อให้เจ้า”

หยุนหว่านหนิงนวดศีรษะของเขา “ไปเล่นเถอะ!”

หลังจากมองส่งหยวนเป่าไปกับหรูอวี้แล้ว ก็หันมามองโม่เยว่ “เรื่องแรก ในที่สุดข้าก็รู้แล้ว ว่าทำไมอ๋องฮั่นถึงอ้วนเป็นบอล”

โม่เยว่เพิ่งยกถ้วยน้ำชาขึ้น

เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ก็อดมองนางแวบหนึ่งไม่ได้ “อ้วนเป็นบอล?”

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ขอเพียงออกมาจากปากหยุนหว่านหนิง…

เขาก็รู้สึกว่าน่าสนใจ น่ารักเป็นพิเศษ!

ถ้าจะให้เขาบรรยายรูปร่างของโม่ฮั่นอี่ว์ จะต้องพูดว่า ‘อ้วนเป็นหมู’ แน่

‘อ้วนเป็นบอล’...

น่ารักมากเลย!

เป็นรูปแบบของหยุนหว่านหนิง

รอยยิ้มของเขาลึกมากขึ้น เม้มจิบน้ำชาคำหนึ่ง “สาเหตุที่พี่รองอ้วนเป็นบอล ไม่ใช่ความลับอะไรแต่แรกแล้ว! ข้ารู้”

“ก็เพราะพี่สะใภ้รองคุมเข้มเกินไป ส่วนพี่รองก็ต่อหน้าอย่างหนึ่ง ลับหลังอย่างหนึ่ง แอบกินทั้งโจ่งแจ้งทั้งแบบลับ”

ยากนักที่สองสามีภรรยาจะได้พูดคุยสัพเพเหระเป็นอิสระ

หยุนหว่านหนิงดื่มน้ำชาอึกหนึ่งเหมือนกัน “ยังมีเรื่องแปลกอีกเรื่อง”

“ข้ารู้สึกว่าน้องสามกับอ๋องโจวเหมาะสมกันมาก! วันนี้ข้าพาน้องสามไปจวนอ๋องโจว ไม่รู้ว่าอ๋องโจวถูกใจน้องสามหรือไม่ แต่ลุงเฉินถูกใจแล้ว!”

นางยิ้ม “แต่น่าเสียดายที่น้องสามไม่ยินดี”

“นางบอกว่าอ๋องโจวอย่างกับคนแก่ จริงจังเกินไป! ถ้านางไม่พูดอย่างนั้นข้าก็รู้สึกว่าการเกี่ยวดองนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว”

ครั้นได้ยินนางพูดอย่างนี้ โม่เยว่ก็พยักหน้าราวกับมีความคิด

“มีเหตุผล! ไม่ว่าจะกับน้องสามหรือพี่สี่ สองคนนี้เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย”

เพื่อเอาใจหยุนหว่านหนิงให้มากกว่าเดิม เขาจึงเรียกน้องสามตามนางอย่าง ‘ประจบ’ นานแล้ว

ส่วนกู้ป๋อจ้งกับกู้หมิง...

โม่เยว่ก็ไม่ได้เรียกว่านายท่านกู้หรือท่านรองกู้อะไรอีก แต่กลับจะเรียกตามหยุนหว่านหนิงแบบหน้าด้านๆ โดยไม่สนใจว่าคนตระกูลกู้จะยินยอมหรือไม่ว่า ‘ท่านตา’ ‘ท่านลุง’

แผนนี้ได้ผลอย่างเห็นได้ชัด หยุนหว่านหนิงกับคนตระกูลกู้เปลี่ยนท่าทีกับเขาไม่น้อย

นางเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ฉะนั้นเจ้าก็รู้สึกว่าเรื่องของน้องสามกับอ๋องโจวสำเร็จได้?”

“ข้าจะไปหยั่งเชิงทางพี่สี่เอง”

โม่เยว่เอ่ยเสียงขรึม “ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่...น้องสามก็เป็นผู้หญิง จะให้เจ้าออกหน้าไม่ได้ ข้าจะไปหยั่งเชิงพี่สี่ดูก่อน ถ้าเขายินดี เราค่อยเกลี้ยกล่อมน้องสาม”

“ถ้าเขาไม่ยินดี ชื่อเสียงของเจ้ากับน้องสามก็ไม่เสีย”

หยุนหว่านหนิงปรบมือด้วยความตื่นเต้น “อย่างนั้นก็ได้! แล้วข้าค่อยไปถามความเห็นของน้องสามอีกที!”

วันนี้นางก็ดูออกเหมือนกัน

หยุนธิงธิงปากว่าไม่ยินดี แต่ความจริงก็ลังเลอยู่บ้าง

ในเมื่อลังเล นั่นก็หมายถึงมีโอกาสพลิกผัน!

ถ้าสองคนนี้ได้ครองคู่กันจริงๆ จวนอ๋องโจวกับจวนอ๋องหมิง ก็คือญาติกำลังสอง แน่นแฟ้นมากขึ้นไปอีกมิใช่หรือ!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อนงค์ใจพระชายาราชสีห์