อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ นิยาย บท 302

ช่วงบ่าย เต๋อเฟยไปที่ห้องทรงพระอักษรด้วยตนเองเพื่อ "จับมือกันอย่างสันติ" กับโม่จงหราน

โม่จงหรานจึงมีพระราชโองการลงไป ให้โม่หุยเฟิงแต่งงานกับหยุนธิงหลานทันที

พระราชโองการนี้ ก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ในเมืองหลวง!

ทุกคนต่างก็คิดว่า โม่หุยเฟิงพังพินาศอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว จากอ๋องหยิงกลายเป็นอ๋องสาม ทั้งยังถูกกักบริเวณมานานขนาดนี้ เดาคร่าว ๆ ก็รู้ ว่าคงไม่มีความหวังที่จะพลิกตัวกลับมาใหม่ได้อีกแน่

ใครจะรู้ ว่าจู่ ๆ โม่จงหรานก็มีพระราชโองการลงมาอย่างกระทันหัน

สรุปว่านี่เป็นการให้โอกาสโม่หุยเฟิงในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือว่าแท้จริงแล้วคนที่อยู่ในใจของเขา เป็นโม่หุยเฟิงมาโดยตลอดกันแน่? !

ในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชนก็แตกออกไปหลายเสียง

แต่สำหรับหยุนเจิ้นซง พระราชโองการฉบับนี้ เป็นเหมือนสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางแดดจัด ๆ เลยทีเดียว

หลังจากโม่หุยเฟิงล้มอย่างสิ้นท่า เขาก็รีบตัดขาดความสัมพันธ์ใด ๆ ที่เคยมีกับเขาทันที

ในช่วงหลายวันมานี้ เขาพยายามเอาอกเอาใจโม่เยว่อย่างสุดความสามารถ....

แต่ใครจะรู้ล่ะว่ายังไม่ทันสำเร็จ โม่หุยเฟิงก็ได้โอกาส "พลิกตัวกลับมาใหม่" แล้วเรียบร้อย? !

ตอนนี้ เขาไม่รู้แล้วจริง ๆ ว่าควรจะเลือกอย่างไร

ในคืนวันนั้น เขาจึงพาหยุนธิงหลานไปที่จวนอ๋องหมิง

"หว่านหนิง เรื่องนี้เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องใช่หรือไม่? อยู่ดี ๆ ทำไมฝ่าบาทจึงมีราชโองการให้หลานเอ๋อร์กับอ๋องสามแต่งงานกัน? นี่เจ้ากำลังเล่นลูกไม้พิสดารอะไรอยู่หรือเปล่า?"

เพิ่งจะนั่งลงได้ เขาก็ยิงคำถามใส่หยุนหว่านหนิงเป็นชุดแบบอัดใส่หน้าโครม ๆ ทันที

ณ. เวลานั้น หยุนหว่านหนิงกับหรูเยียนกำลังชื่นชมรูปวาดที่โม่เยว่วาดให้นางอยู่

วันนั้นนางเอนหลังพิงศาลาแล้วผล็อยหลับไป ไม่รู้เหมือนกันว่าโม่เยว่เดินเข้ามาตอนไหน แล้ววาดรูปให้นางรูปหนึ่ง

ซึ่งก็คือรูปที่อยู่ในมือของนาง

โม่เยว่สั่งให้คนเอารูปไปใส่กรอบให้ดี ๆ เพิ่งจะอัดเสร็จแล้วส่งมาที่จวน

เมื่อได้ยินคำถามของหยุนเจิ้นซง หยุนหว่านหนิงก็หันกลับมามองเขาด้วยท่าทางขบขัน "คำพูดของยิ่งกั๋วกงช่างน่าสนใจจริง ๆ! เป็นไปได้ด้วยหรือที่ข้าจะมีอิทธิพลต่อความคิดของเสด็จพ่อ?"

“ที่ผ่านมาน้องรองอยากจะแต่งให้อ๋องสามอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่ใช่ว่าตอนนี้ความปรารถนาของนางเป็นจริงแล้วหรอกหรือ?”

“ทำไมกลับกลายเป็นว่ามาเดือดร้อนโวยวายใส่ข้าแทนซะล่ะ?”

หยุนธิงหลานที่ตามอยู่ข้างหลังหยุนเจิ้นซง พูดขึ้นด้วยท่าทางอึกอักลังเล "ไม่ใช่ว่าข้าจะมาสร้างความเดือดร้อนอะไรให้เจ้านะ เป็นเพราะ..... "

นางชี้ไปที่หยุนเจิ้นซง สีหน้าจนใจทำอะไรไม่ถูก

แน่นอนว่านางอยากแต่งให้โม่หุยเฟิงจริง ๆ

แต่จนใจที่โม่หุยเฟิงไม่เอ่ยปาก ตัวนางเองก็ทำอะไรไม่ได้!

หยุนธิงหลานยืนอยู่ข้างหลังหยุนเจิ้นซง ดังนั้นขณะที่นางชี้ ๆ ไปที่เขา ตัวเขาก็มองไม่เห็น

“ข้าไม่ได้มาสร้างความเดือดร้อนให้เจ้า ข้าแค่อยากมาถามว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่? กว่าที่หลานเอ๋อร์จะตัดความสัมพันธ์กับอ๋องสามได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงได้กลับมาข้องเกี่ยวกันอีกแล้วล่ะ?”

ตอนนี้ตามความเห็นส่วนตัวของหยุนเจิ้นซง คือเขาไม่อยากให้หยุนธิงหลานแต่งให้โม่หุยเฟิง

เขาเอาแต่วางอุบายหมายจะเอาชนะโม่เยว่มาโดยตลอด 

แต่จนใจที่โม่เยว่ไม่ยินดีเป็นคนรับช่วงต่อ กระทั่งจะมองเขาสักแวบก็ยังไม่อยากมองเลยด้วยซ้ำ

ยิ่งไปกว่านั้น มีอะไรที่จะทำให้เขายอมรับหยุนธิงหลานได้บ้าง?

เพื่อเรื่องนี้ เขายังขบคิดวิธีแก้ปัญหาไม่ออกเลย ใครจะรู้ล่ะว่า จู่ ๆ พระราชโองการก็ถูกส่งมาที่จวนยิ่งกั๋วกงแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย? !

“เรื่องนี้ท่านต้องไปถามเสด็จพ่อเอง”

หยุนหว่านหนิงมองเขาอย่างขบขัน "มันเป็นสมรสพระราชทานจากเสด็จพ่อ ไม่ใช่จากข้า"

หยุนเจิ้นซงกล้าถามโม่จงหรานเสียที่ไหนล่ะ? !

ถ้าเขากล้า เขาก็คงจะไม่มาที่จวนอ๋องหมิงแบบนี้หรอก.... เขากระแอมไอเบา ๆ ใช้โอกาสนี้ซ่อนความกระอักกระอ่วนใจ "ข้าก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาอะไรหรอก แค่อยากทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้มันกระจ่างชัดเท่านั้น"

“ไม่มีอะไรต้องทำความเข้าใจหรอก ยิ่งกั๋วกงควรรีบกลับไปเตรียมสินสอดเจ้าสาวไว้จะดีกว่า”

หยุนหว่านหนิงหาวหวอด

วันมงคลสมรสที่โม่จงหรานสั่งลงมากระชั้นมาก ให้เวลาพวกเขาเพียงสิบวันในการเตรียมตัว

พระราชโองการฉบับนี้ ก่อให้เกิดความปั่นป่วนดั่งระลอกคลื่นไปทั่วเมืองหลวง

นอกจากจวนยิ่งกั๋วกง และจวนอ๋องสามแล้ว ยังมีจวนเฉินเซี่ยงอีกแห่งที่วุ่นวายไม่แพ้กัน

แต่ตอนนี้ หยุนหว่านหนิงไม่มีเวลามานึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น

หลังจากส่งหยุนเจิ้นซงกับหยุนธิงหลานออกไปแล้ว นางก็อาศัยข้ออ้างว่าจะไปรับหยวนเป่า ทั้งยังไม่ให้หรูเยียนตามไป หลังออกจากจวนอ๋องหมิง นางก็เดินลัดเลาะผ่านตรอกซอกซอยเล็กๆ

หลังจากเลี้ยวไปเลี้ยวมาเจ็ดแปดมุม นางก็มาปรากฏตัวอยู่นอกประตูจวนซ่ง

เมื่อเห็นว่าประตูจวนปิดสนิท นางก็เหลียวมองไปรอบ ๆ แล้วเข้าไปเคาะประตู

เมื่อคนรับใช้เห็นว่านางมาแล้ว ก็รีบเชิญนางเข้าไป

“ใต้เท้าซ่งของพวกเจ้าล่ะ?”

"ใต้เท้าเหมือนว่าจะอยู่ในสวนหลังจวนเจ้าค่ะ"

คนรับใช้ตอบ "ข้าน้อยจะรีบไปเชิญ....

“ไม่ต้อง ข้าจะไปดูเอง”

หยุนหว่านหนิงรีบเรียกหยุดคนรับใช้ไว้ทันที

นางกับซ่งจื่ออวี๋เป็นเพื่อนสนิทกัน บรรดาคนรับใช้ทุกคนในจวนซ่งต่างก็รู้เรื่องนี้ ดังนั้นต่อให้หยุนหว่านหนิงจะไปหาซ่งจื่ออวี๋ที่สวนหลังจวนด้วยตัวเอง คนรับใช้ก็จะไม่เอ่ยห้าม

ในสายตาของพวกเขา ซ่งจื่ออวี๋เป็นผู้สูงส่งที่ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลก

ไม่มีทางที่จะเกิดเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แบบชายหญิงขึ้นได้ และคงไม่มีทางเกิดข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ กับพระชายาหมิงแน่นอน

คนรับใช้ชี้ทางให้นาง หยุนหว่านหนิงจึงเดินตรงดิ่งไปที่สวนหลังจวนเพียงลำพัง

คนรับใช้ในจวนซ่งมีน้อยมาก

ลานหน้าบ้านกับหลังบ้านเชื่อมถึงกันเป็นสวนดอกไม้ แต่ในสวนกลับไม่ได้ปลูกพวกดอกไม้ธรรมดา ๆ แต่ปลูกเป็นพวกสมุนไพรกระจายเป็นผืนกว้างใหญ่จนสุดลูกหูลูกตา

สายลมพัดโชย กลิ่นหอมของยาสมุนไพรลอยมากระทบจมูกของหยุนหว่านหนิง นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ "กลิ่นหอมนี้ ช่างเป็นกลิ่นอันคุ้นเคยหลังจากห่างหายกันไปนานจริง ๆ !"

สวนดอกไม้กับลานหลังจวน ถูกเชื่อมต่อกันด้วยสะพานโค้งเล็ก ๆ สายหนึ่ง

สระน้ำแห่งนี้ใหญ่มาก ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าใหญ่กว่าสวนดอกไม้เสียอีก

ดอกบัวผืนใหญ่แผ่กระจายปกคลุมจนทั่วผิวน้ำ แมลงปอบินโฉบแตะริ้วน้ำแผ่วเบาผ่านตรงหน้า.....

หยุนหว่านหนิงอดจ้องมองจนตกอยู่ในภวังค์ไม่ได้!

จวนของซ่งจื่ออวี๋นั้น แตกต่างจากจวนของคนทั่วไปจริง ๆ

คืนนั้นเขาเคยบอกนางว่า ถ้ามีอะไรนางสามารถมาหาเขาที่จวนซ่งได้ ช่วงนี้เขาจะอยู่ที่จวนซ่งสักระยะ จะยังไม่กลับไปที่ภูเขาหยุนอู้

หยุนหว่านหนิงเกิดความรู้สึกสงสัยในใจหลายประการ

นางไม่มีเบาะแสอะไรให้คลำทางได้เลย จึงทำได้แค่ต้องมาหาซ่งจื่ออวี๋

แมลงปอตัวหนึ่งบินผ่านปลายจมูกของนางไป ดึงความคิดของหยุนหว่านหนิงกลับมา

นางฟื้นคืนสติ หันไปมองห้องที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง

นางได้กลิ่นหอมของยาลอยออกมาจากในห้อง เป็นกลิ่นหอมของยาที่มักติดอยู่บนร่างของซ่งจื่ออวี๋

เขาน่าจะอยู่ในห้องนี้สินะ?

ประตูห้องปิดสนิท หยุนหว่านหนิงเดินตรงไปหยุดอยู่หน้าประตู ร้องเรียกเบา ๆ ว่า "ซ่งจื่ออวี๋? เจ้าอยู่ในนั้นหรือไม่? ซ่งจื่ออวี๋?"

เสียงที่ตอบนาง เป็นเสียงครวญครางแผ่วต่ำ ทั้งยังฟังอู้อี้เหมือนติดในลำคอเสียงหนึ่ง

น้ำเสียงนั้นฟังดูเจ็บปวด หดหู่ ถึงขั้นไร้สติสัมปชัญญะ....

หรือว่าซ่งจื่ออวี๋จะเกิดเรื่องร้ายขึ้นแล้ว? !

เมื่อนึกถึงภาพบาดแผลฉกรรจ์บนร่างของเขา หยุนหว่านหนิงก็นึกลังเลขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจผลักประตูเปิดเบา ๆ

การตกแต่งในห้องเป็นแบบเรียบง่าย ตามสไตล์ของซ่งจื่ออวี๋

ด้านหลังฉากกั้น ยังมีประตูอีกบาน

เสียงของซ่งจื่ออวี๋ ดังแว่วมาจากหลังประตูบานนั้น

หยุนหว่านหนิงเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย ร้องเรียกออกไปเบา ๆ ว่า "ซ่งจื่ออวี๋....."

ยังคงไม่มีเสียงตอบรับ

สร้อยข้อมือไม่ได้เตือนถึงอันตราย นางจึงเดินอ้อมฉากกั้นไปอย่างระมัดระวัง ประตูบานนี้ค่อนข้างหนัก นางต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการดันให้มันเปิดออก

ในห้องมืดสนิท

แต่เมื่อนางเดินเข้าไป โคมไฟดวงเล็ก ๆ ก็พลันสว่างขึ้น

มันช่างเหมือนกับ……

หลอดไฟแบบสั่งงานด้วยเสียงของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด!

ภายใต้แสงไฟ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า กลับทำให้หยุนหว่านหนิงตกตะลึงจนตาค้างไปเลย!

เดิมทีนางคิดว่า หลังประตูบานนี้จะเป็นห้องนอนของซ่งจื่ออวี๋

แต่ใครจะรู้ล่ะว่า มันจะเป็นสระน้ำขนาดใหญ่!

วันนี้นางบังเอิญได้เห็นภาพฉากของชายหนุ่มรูปงามอย่างซ่งจื่ออวี๋ "ออกจากสระน้ำ" กับตาตัวเองเลย?

หยุนหว่านหนิงรู้สึกแช่มชื่นยินดีมาก

เมื่อเข้าไปใกล้สระน้ำแห่งนั้น จึงพบว่าน้ำในนั้นไม่ใช่น้ำธรรมดา เพราะน้ำเหล่านี้ล้วนมีลักษณะเหมือนหินหนืดหลอมเหลวซึ่งมีการเคลื่อนไหวคล้ายกับลาวา ดูเป็นสีแดงจัดและร้อนระอุ...แต่เมื่อดูดี ๆ กลับไม่เหมือนลาวา

เมื่อครู่นี้ไฟยังไม่ติด "ลาวา" ภายในสระน้ำแห่งนั้นก็ไม่มีทั้งสีหรือประกายแสงใดๆ

แต่เมื่อไฟติดขึ้นมา จึงมองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน

อากาศร้อนยังคงร้อนระอุ อัดแน่นก่อตัวเป็นเมฆหมอกที่จับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน

เดิมทีหยุนหว่านหนิงคิดว่า "ลาวา" เหล่านี้จะต้องร้อนจัดแน่ ๆ

แต่เมื่อยื่นมือออกไป กลับพบว่ามันเย็นยะเยือกจนเสียดถึงกระดูกเลยทีเดียว!

และในเวลานี้ ซ่งจื่ออวี๋ก็กำลังนอนอยู่กลาง "สระลาวา" สระนี้อยู่!

เขาหันหลังให้หยุนหว่านหนิง ไม่รู้ว่าเขาหมดสติไป หรือไม่รู้สึกถึงการขยับเข้ามาใกล้ของหยุนหว่านหนิงกันแน่ ผมยาวดำขลับแผ่สยายกระจายไปทั่วแผ่นหลัง ทั้งร่างดูซูบผอมบอบบางอย่างยิ่ง

“ซ่งจื่ออวี๋?”

หยุนหว่านหนิงตะโกนเรียกเสียงหนึ่ง

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของนาง ซ่งจื่ออวี๋ก็หันหน้ามาทันที

ชั่วเวลานี้ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาแดงก่ำยิ่งกว่าลาวาที่ไหลเวียนอยู่จนเต็มสระนี้เสียอีก!

นอกจากตาสีแดงก่ำแล้ว ยังเต็มไปด้วยไอสังหารอันน่าสะพรึง!

เขาพุ่งตัวขึ้นไปในอากาศ  *บุกหน้าเสมือนผ่าลำไผ่ แล้วใช้มือขวาคว้าหมับเข้าที่ลำคอของนาง!

(*บุกหน้าเสมือนผ่าลำไผ่ เป็นสำนวนจากสามก๊ก เดิมมาจากสถานการณ์ยกทัพบุกง่อก๊กโดยมีเตาอี้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด สื่อถึงการลอบโจมตีทหารของง่อก๊ก ทหารเปรียบเสมือนลำไผ่ เมื่อผ่าจนแตกแล้ว รอยแตกนั้นจะทำให้ไม้ที่เคยตั้งตรงหักแยกหักโค่นลง กองทัพของศัตรูสามารถบุกเข้าโจมตีได้อย่างง่ายดาย)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อนงค์ใจพระชายาราชสีห์