อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ นิยาย บท 320

หยุนหว่านหนิงยิ้มหวานออกมา

มือของนางยื่นออกไปจากไหล่ของโม่เยว่ ชูหนึ่งนิ้วไปทางฮองเฮาจ้าว

“หมายความว่าอย่างไร?”

ฮองเฮาจ้าวที่ไม่เคยถูกนาง “รีดไถ” ไม่เข้าใจว่านางหมายความว่าอย่างไร

ไม่มีใครเข้าใจนางไปมากกว่าโม่เยว่แล้ว มองเพียงนิ้วมือของนาง ก็อธิบายแทนนางด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึก “ค่าปิดปาก หนึ่งแสนตำลึง”

“หนึ่งแสนตำลึง? ! เจ้ากำลังปล้นอยู่หรือ? !”

ฮองเฮาจ้าวโกรธสุดขีด

โม่หุยเฟิงในตอนนี้ แค่หนึ่งหมื่นตำลึงก็ยังไม่สามารถเอาออกมาได้ ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงหนึ่งแสนตำลึงเลย

เขาไม่มี แต่ฮองเฮาจ้าวมีนี่นา!

หยุนหว่านหนิงกะพริบตา “เสด็จแม่ ไม่กี่วันก่อนท่านเพิ่งจะเอาเงินจากข้าไปหนึ่งล้านตำลึงเองนะ”

“ถึงแม้จะซ่อมแซมตำหนักซีเยว่ มันก็มากเกินพออยู่แล้ว! เอาออกมาหนึ่งแสนตำลึง สำหรับเสด็จแม่แล้ว......ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรใช่ไหม?”

ฮองเฮาจ้าว: “......”

เงินน่ะนางมีอยู่!

แต่เมื่อเงินนั่นเข้ากระเป๋าของนางไปแล้ว ไหนเลยจะยอมให้หยุนหว่านหนิงล้วงไปได้? !

โม่หุยเฟิงก็เต็มไปด้วยความในใจมากมาย แต่ก็ยากที่จะพูดออกมาได้

เขารู้ว่า โม่จงหรานนำเงินล้านกว่าตำลึงที่อายัดไปจากเขา แบ่งให้กับหยุนหว่านหนิงหนึ่งล้านตำลึง

แต่ผู้หญิงคนนี้ จะโหดเกินไปแล้วไหม!

เอาเงินจากเขาไปหนึ่งล้านตำลึง ยังจะมีหน้าไปขอเงินกับเสด็จแม่อีก? !

ดูท่าเสด็จแม่เอาเงินจากนางไปหนึ่งล้านตำลึงในตอนนั้น ผู้หญิงคนนี้ก็จะเอาคืนกลับไปทีละก้อนทีละก้อนเช่นกัน!

ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไร หนึ่งล้านตำลึงนั่นก็แค่เก็บเอาไว้ในมือของฮองเฮาจ้าวช่วงหนึ่งเท่านั้นแหละ!

ท้านที่สุด ก็ยังต้อง “คืนให้กับเจ้าของ” คืนให้กับหยุนหว่านหนิง!

โหด โหดเกินไปแล้วชัดๆ!

ต่อหน้าบรรดาแขกเหรื่อทั้งหลาย โม่หุยเฟิงย่อมไม่สามารถพูดออกมาได้อยู่แล้ว เขาได้แต่มองดูหยุนหว่านหนิงด้วยใบหน้าเหมือนคนท้องผูก “หยุนหว่านหนิง เจ้าอย่าให้มันเกินไปนะ!”

“เกินไป?”

หยุนหว่านหนิงส่ายหน้า “หนึ่งแสนตำลึงพวกท่านรู้สึกว่ามันเกินไป เช่นนั้นก็สองแสนตำลึงแล้วกัน”

โม่หุยเฟิงหายใจไม่ออกกะทันหัน เกือบจะถูกคำพูดของนางทำให้หมดลมไปโดยตรง

บางทีฮองเฮาจ้าวอาจจะทำเพื่อให้ได้อยู่กับโม่หุยเฟิงและคนอื่นๆนานขึ้นอีกหน่อย เวลาอิสระที่กว่าจะขอมาได้ ไม่อยากเสียเวลาไปกับหยุนหว่านหนิง

ดังนั้น นางโบกไม้โบกมือเหมือนกับไล่แมลงวัน

“ได้ๆๆ หนึ่งแสนตำลึงใช่ไหม? ข้าให้เจ้า!”

ฮองเฮาจ้าวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ารีบไปเถอะ”

ท่าทางรังเกียจนั้น ทำให้คนกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้

หยุนหว่านหนิงก็ไม่ใช่คนที่ “ไม่รู้อะไรควรไม่ควร” เช่นกัน

นางมองไปที่หยุนธิงหลานอย่างลึกซึ้งครู่หนึ่ง หันหลังลงจากแท่นไปพร้อมกับโม่เยว่ หยุนธิงธิงก็รีบร้อนลุกขึ้นมาแล้วตามพวกเขาจากไป

เหตุการณ์ในวันนี้ จบลงไปชั่วคราว

หลังจากที่ส่งหยุนธิงธิงกลับไปที่จวนยิ่งกั๋วกงแล้ว โม่เยว่มองดูท่าทางที่หนักอกหนักใจของหยุนหว่านหนิง สอบถามด้วยความห่วงใย “หนิงเอ๋อร์ กำลังคิดอะไรอยู่?”

“ไม่มีอะไร”

ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่นางกลับขมวดคิ้วแน่น

ดูแล้วมีเรื่องในใจจริงๆ

โม่เยว่ไปจูงมือของนาง “แม้แต่ข้าก็ไม่ยินดีจะบอกหรือ?”

หยุนหว่านหนิงสะบัดมือของเขาออกอย่างรังเกียจ “ทำอะไรน่ะ?”

“จะพูดก็พูด จะเดินก็เดิน จับไม้จับมือทำไม? ที่นี่คือถนน ไม่กลัวว่าจะถูกคนที่เดินผ่านไปมาหัวเราะเยาะท่านหรือ?”

นางกลอกตามองเขาครู่หนึ่ง “โอบกอดกันไปมากลางถนน ถือเป็นอะไรกัน? !”

“ข้ากลัวอะไร?”

โม่เยว่เกี่ยวริมฝีปากขึ้นอย่างอารมณ์ดี “เจ้าเป็นพระชายาที่ข้าแต่งงานด้วยอย่างเปิดเผย”

“ถึงแม้จะโอบกอดกันไปมากลางถนน คนอื่นจะกล้าหัวเราะเยาะได้อย่างไร? !”

หยุนหว่านหนิง: “……ท่านกลายเป็นคนหน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ข้าเรียนรู้จากเจ้าไง”

โม่เยว่กล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

หยุนหว่านหนิงเลือกที่ปิดปาก ไม่คุยกับเขาจะดีกว่า

นางไม่เข้าใจเลยว่า อ๋องหมิงที่เย่อหยิ่งเย็นชา เข้าถึงได้ยาก ทำไมอยู่ต่อหน้านางถึงทำตัวเหมือนกับเด็กสาวขวบ? !

ไม่!

เขาแย่ยิ่งกว่าเด็กสามขวบด้วยซ้ำ!

หยวนเป่าใกล้จะสี่ขวบแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าโม่เยว่ยังสู้หยวนเป่าไม่ได้……

กำลังคิดอยู่ โม่เยว่ก็เข้ามาใกล้อีกครั้ง “หนิงเอ๋อร์ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”

“มีอะไรก็พูดมาตามตรง”

“วันนี้เจ้าพูดกับฉินซื่อเสวียว่า ‘โม่เยว่ของเจ้า’ หล่อเหลาหาที่เปรียบมิได้ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เปล่งประกายสดใสงามล่มชาติล่มเมืองรูปโฉมงดงามมาแต่กำเนิด……”

เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วก็หันไปมองใบหน้าของหยุนหว่านหนิง

หยุนหว่านหนิงหน้าแดงขึ้นมา

น่าละอายจริงๆ!

หากไม่ใช่เพราะจะทำให้ฉินซื่อเสวียอกแตกตาย นางสาบานว่าชาตินี้นางไม่มีทางจะกล่าวคำพูดน่าละอายเช่นนี้ออกมาแน่!

“หนิงเอ๋อร์ ในใจของเจ้าข้าเช่นนี้จริงหรือ?”

โม่เยว่มองดูนางอย่างลึกซึ้ง

หยุนหว่านหนิงส่งสายตา “ลึกซึ้ง” กลับมา “ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

ดวงตาทั้งคู่ของโม่เยว่เปล่งประกาย “ข้าคิดว่า ในใจของเจ้าข้าคือคนที่ดีที่สุดในใต้หล้า”

หยุนหว่านหนิงอยากจะอาเจียนก่อนเป็นการคารวะ

แต่เมื่อมองดูใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา นางก็เบือนหน้าออกไปเงียบๆ “ท่านก็ลองครุ่นคิดด้วยตัวเองดู คำที่ข้าพูดเหล่านั้น มีคำไหนบ้างที่เกี่ยวข้องกับท่าน?”

คำพรรณนาของนาง เห็นได้ชัดว่าเหมาะสมกับผู้หญิงมากกว่า

นอกจากคำว่า “หล่อเหลาหาที่เปรียบมิได้” นั่นแล้ว

“ข้าคิดว่า มีอยู่คำหนึ่ง เหมาะสมอย่างมากทีเดียว”

หยุนหว่านหนิงแสดงออกว่าอยากรู้อยากเห็น “คำไหน?”

“โม่เยว่ของเจ้า”

โม่เยว่ยิ้มออกมา

นี่เป็นครั้งแรกที่หยุนหว่านหนิงเห็น รอยยิ้มที่มาจากใจของเขา จริงใจและพราวแพรวเช่นนี้……ชั่วขณะหนึ่ง ฟ้าดินดูเหมือนจะหม่นหมองไร้สีสัน

นางจ้องมองอย่างตกตะลึง

จนกระทั่ง ใบหน้าหล่อเหลาของโม่เยว่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ

ก่อนที่นางจะทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากบางของเขา จิกไปบนริมฝีปากของนางเบาๆ ราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ

เขา “ถอย” ออกไปอย่างรวดเร็ว

เหมือนกับเด็กน้อยที่ประพฤติตัวดี รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ท่าทางพึงพอใจ

หยุนหว่านหนิง: “……ครั้งหน้า ข้าอนุญาตให้เจ้าจูบนานหน่อย”

นี่ถือเป็นอะไร?

เห็นนางเป็นสาวน้อยไร้เดียงสาหรือ? !

นางหันหน้าก็เดินเลย

เพิ่งจะหันกลับไป ก็ถูกโม่เยว่คว้าตัวกลับมา เขามองดูนางด้วยความประหลาดใจและมีความสุข “หนิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนพูดเองนะ! เจ้าห้ามกลับคำเด็ดขาด!”

ด้านหลังเป็นกำแพง

ไม่รอให้หยุนหว่านหนิงเอ่ยปาก เขาก็ผลักเบาๆ ดันนางถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งแล้วพิงอยู่กับกำแพง

ในขณะที่แผ่นหลังของนางเข้าไปชิดกำแพง โม่เยว่ก็ยื่นมือออกไปยันกำแพงเอาไว้อย่างรอบคอบ ใช้ฝ่ามือเว้นระยะห่างของนางกับกำแพงออก

ถึงได้ป้องกันไม่ให้แผ่นหลังของนาง ติดอยู่บนกำแพงที่เย็นยะเยือก

“เจ้าทำ……”

หยุนหว่านหนิงยังไม่ทันจะพูดจบ จูบของโม่เยว่ ก็พรมลงมาบนหน้าผาก โหนกคิ้ว ปลายจมูกของนาง ลงมาตลอดทาง ราวกับหยาดฝนโปรยปราย

ท้ายที่สุด ก็จูบลงไปบนริมฝีปากของนางอย่างแรง!

“อุ๊บ......”

สายตาของหยุนหว่านหนิงตกตะลึง ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างราวกับระฆังทองแดง

นางอยากผลักเขาออกไป

แต่เมื่อเห็นเขาหลับตาแน่น จูบด้วยท่าทางจริงจังมาก......หยุนหว่านหนิงชะงักงันไปหนึ่งวินาที จากนั้นในหัวก็ว่างเปล่า นางถึงกับไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรดี!

สองมือของนางยกเอาไว้อย่างแข็งทื่อ ห้อยอยู่กลางอากาศ

ชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะผลักโม่เยว่ออกไป หรือว่ากอดเอวของเขาเอาไว้ดี

โม่เยว่ลืมตาขึ้น “หนิงเอ๋อร์ จริงจังหน่อย”

เสียงของเขา ผสมปนเปไปด้วยความแหบแห้งที่ชวนให้หลงใหล

มือขวาของเขา ก็หยุดอยู่ที่เอวของนางอย่างอ่อนโยน......

หยุนหว่านหนิงตัวแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ถูกโม่เยว่จูบอย่างมึนงงเช่นนี้ ในสมองตกอยู่ในสภาวะสับสน จนกระทั่งเสียงหัวเราะเบาๆของโม่เยว่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก นางถึงได้สติกลับมา

“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแข็งทื่อมากเลย ประหม่ามากหรือ?”

แม่ง!

นางถึงกับถูกผู้ชายคนนี้ รังเกียจ+หัวเราะเยาะแล้วหรือ? !

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อนงค์ใจพระชายาราชสีห์