อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ นิยาย บท 474

“ข้าจะโกหกเจ้าทำไม?”

หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้วมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “หากเจ้าไม่เชื่อ ก็ไปสืบดูได้เลยว่า ข้าพูดเป็นความจริงไหม?”

สายตาของนางกวาดมองท่ามกลางแขก

ทันใดนั้น สายตาก็หยุดชะงัก

หยุนหว่านหนิงเชยคางไปข้างหน้า พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าดูทางด้านนั้น....”

โม่เหว่ยมองไปตามสายตาของนาง สีหน้ายิ่งอยู่ยิ่งย่ำแย่ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้ารู้แล้ว”

เขาลุกขึ้นจากไป ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร

……

เรือนด้านหลังจวนหยุนกั๋วกง

หยุนธิงธิงก็ยังไม่ได้เข้ามานั่งในงาน

หยุนเจิ้นซงอ้างว่าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า รีบกลับห้องไปอย่างเร่งรีบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับเขา หยุนธิงธิงจึงรีบตามมาหา

“พ่อ พ่อ?”

ประตูห้องหยุนเจิ้นซงปิดสนิท หยุนธิงธิงเคาะประตู

ไม่มีเสียงคนตอบรับ

หยุนธิงธิงรู้สึกแปลกใจ

หยุนเจิ้นซงกลับมาที่ห้องแล้วไม่ใช่หรือ?

ทำไมถึงไม่มีคนตอบ?

รอบๆเงียบสงบ ไม่มีบ่าวใช้คอยปรนนิบัติ เวลานี้ บ่าวใช้ล้วนรับแขกอยู่ตรงลานด้านหน้า ต่างเข้าๆออกๆทำงานยุ่งอยู่กับการจัดงานเลี้ยง

หยุนธิงธิงผลักประตู แต่ก็เปิดไม่ได้เพราะลงกลอนไว้ข้างใน

“พ่อ?”

ยังคงไม่มีเสียงคนตอบ นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พร้อมพูดพึมพำขึ้นมาว่า “หาไปไหนแล้ว? ทำไมถึงไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย?”

หรือว่า หยุนเจิ้นซงรับไม่ได้ที่วันนี้ถูกเหยียดหยาม จึงคิดสั้น?

ในขณะที่กำลังร้อนใจ ก็ได้ยินเสียงครวญครางดังมาจากในห้อง

เสียงนี้ ฟังดูแปลกๆ

สีหน้าหยุนธิงธิงเปลี่ยนไปทันที รีบเคาะประตูอย่างรุนแรง พร้อมร้องเรียกว่า “พ่อ พ่อไม่เป็นไรใช่ไหม? พ่อเป็นยังไงบ้าง? อย่าคิดสั้นเด็ดขาดนะ วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของพ่อนะ”

เสียงภายในห้องหยุดลงอย่างกะทันหัน

แต่ไม่นาน ก็มีเสียงหนึ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ดังขึ้นมาอีก.....

ถึงหยุนธิงธิงจะเป็นสาวที่ไม่เคยผ่านอะไรมา แต่ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในห้อง

ถึงว่าทำไมประตูถึงลงกลอน ถึงว่าไม่ว่านางจะร้องเรียกเคาะประตูยังไง หยุนเจิ้นซงก็ไม่ตอบ

นี่เพราะกำลังเสพสุขอยู่อย่างสำราญ?

หยุนธิงธิงหน้าแดง พร้อมรีบหนีไปจากที่นี่

เพิ่งวิ่งหนีออกมาจากเรือนด้านหลัง ก็เจอกับโม่เหว่ยที่กำลังเดินเล่น....หยุนธิงธิงก้มหน้าก้มตารีบเดิน ไม่ได้สังเกตเห็นว่าข้างหน้ามีคน จนเกือบชนซบอกโม่เหว่ย

ถูกเขาคว้าจับไว้ นางค่อยเงยหน้าขึ้นมาอย่างเพิ่งรู้ตัว

“ขอบ ขอบคุณอ๋องโจว”

หยุนธิงธิงยังตกตะลึงอยู่

“ไม่เป็นไร”

โม่เหว่ยมองดูนาง สายตาฉายแววดีใจ

เขารวบเก็บความดีใจไว้ แล้วถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “คุณหนูสามหยุนเป็นอะไรหรือ? มีคนไล่ตามมาหรือ? หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“ไม่ ไม่มีอะไร”

สายตาหยุนธิงธิงกระวนกระวาย ไม่กล้ามองสบตาเขา

ในความทรงจำของนาง อ๋องโจวเป็นเหมือนอย่างคนเฒ่าหัวโบราณคนหนึ่ง

เมื่อกี้เพิ่งไปเจอหยุนเจิ้นซงกระทำเรื่องแบบนั้น ตอนนี้ก็มาเจอโม่เหว่ย......

ทำให้รู้สึกแปลกๆ

โม่เหว่ยก้มหน้ามองดูนาง เห็นเม็ดเหงื่อผุดบนหน้าผากของนาง ผมเผ้ายุ่งเหยิง แก้มแดงๆ หายใจติดขัด

สายตาของนางก็กระวนกระวาย เห็นได้ชัดว่าไม่ปกติ

“หากคุณหนูสามหยุน เจอปัญหาอะไร บอกข้าได้นะ”

“ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ”

หยุนธิงธิงเพียงอยากหนีไปเท่านั้น

แต่โม่เหว่ยไม่ปล่อยนางไป นางจึงจำต้องฝืนยิ้ม พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าอ๋องโจวมาทำอะไรที่นี่หรือ?”

“ข้า ข้ามาเดินเล่นที่นี่”

โม่เหว่ยพูดไปเรื่อยขึ้นมาว่า “เมื่อกี้ข้ากินของกินในงานเยอะไปหน่อย เดิมก็สุขภาพไม่ดี หว่านหนิงสั่งข้าไว้ว่า หลังทานอาหารต้องเดินย่อยอาหารด้วย”

เหตุผลนี้ฟังดูสมเหตุสมผล

คิดถึงช่วงก่อนนางเคยตามหยุนหว่านหนิงไปยังจวนอ๋องโจว ตอนนั้นโม่เหว่ยป่วยหนักอย่างมาก

ตอนนี้ดูหายดีขึ้นมากแล้ว

ไม่เพียงแลดูสุขภาพดีขึ้น คนทั้งคนก็แลดูหนุ่มขึ้นมาก

อาจเป็นเพราะสุขภาพดีขึ้น ลักษณะท่าทีของเขาก็ดีขึ้นด้วย

ลักษณะท่าทีเหมือนอย่างคนเฒ่าหัวโบราณอย่างที่ผ่านมา ตอนนี้โม่เหว่ยในสายตาหยุนธิงธิง แลดูหล่อเหลา สง่างามขึ้น

โดยเฉพาะ เขาใช้สายตาจริงจังมองดูนางแบบนี้....

ภายในดวงตาทั้งคู่ของเขา หยุนธิงธิงมองเห็นเงาตัวเองอย่างชัดเจน

หัวใจว้าวุ่นของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะเต้นแรงขึ้นมา

“ใช่ ใช่ไหม”

นางรีบรวบสายตากลับมา พร้อมพูดขึ้นว่า “ฝีมือทางการแพทย์ของพี่สาวใหญ่ยอดเยี่ยม อ๋องโจวควรฟังแนะนำของพี่สาวใหญ่เยอะๆ”

“ขอให้อ๋องโจวทานดื่มอย่างอร่อย ทำตัวตามสบาย ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อน”

หยุนธิงธิงก้มหน้าก้มตา พร้อมรีบเดินไปไกล

โม่เหว่ยมองดูเงาหลังของนางเดินไปไกล มุมปากเผยรอยยิ้มขึ้นมา

นางเดินกลับมานั่งด้านข้างหยุนหว่านหนิงอย่างเชื่องช้า พร้อมพูดขึ้นว่า “หว่านหนิง เมื่อกี้ข้า‘บังเอิญ’ไปเจอคุณหนูสามหยุน จึงลองหยั่งเชิงดู”

“ข้าคิดว่า ข้ายังมีโอกาส”

หยุนหว่านหนิง “....เจ้ามั่นใจนะว่า นั่นเป็น‘ความบังเอิญ’?”

เขาเป็นเหมือนดั่งเสาที่เคลื่อนไหวได้ ขวางอยู่ตรงประตูเรือนหลังบ้าน

ขอเพียงมีคนเดินออกมาจากเรือนด้านหลัง ยังไงก็ต้องเจอเขา?

“บนใบหน้าของเจ้าเขียนอะไรไว้ ทุกคนแทบรู้หมด ยังมีหน้ามาบอกว่า‘บังเอิญ’เจอ อ๋องโจว รู้จักกันมาตั้งนานขนาดนี้แล้ว ทำไมข้าถึงไม่รู้ว่าเจ้าหน้าหนาขนาดนี้?”

หยุนหว่านหนิงแสดงสีหน้าดูถูก

“ใช่”

โม่เหว่ยจำต้องยอมแพ้ยอมรับว่า “ข้าตั้งใจเฝ้าอยู่ตรงนั้นจริงๆ”

“พูดมา มีอะไรคืบหน้า?”

“พอมีความคืบหน้าอยู่บ้าง”

โม่เหว่ยไอเบาๆหนึ่งที

อาจเป็นเพราะกลัวโม่ฮั่นอี่ว์กับโจวหยิงหยิงรู้เรื่องนี้แล้วพูดหยอกล้อ รู้จุดอ่อนของเขา

หยวนเป่าเจ้าเด็กคนนี้ ตอนนี้จะดูถูกไม่ได้

หากเขารู้เรื่อง เขาจะต้องถูกล้อแน่

ดังนั้นโม่เหว่ยจึงพาหยุนหว่านหนิงลุกขึ้น ทั้งสองคนไปกระซิบคุยกันอยู่ตรงมุม

“ข้าคิดว่า คุณหนูสามหยุนมีความรู้สึกที่ดีต่อข้า”

หยุนหว่านหนิงไอขึ้นมาหนึ่งที มองดูเขาอย่างไม่อยากเชื่อ พร้อมพูดขึ้นว่า “เมื่อกี้ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม? เจ้ามั่นใจได้อย่างไร? เจ้าถามนางแล้วหรือยัง?”

“เปล่า”

โม่เหว่ยส่ายหัว

ไม่รอให้หยุนหว่านหนิงถาม เขาก็พูดอธิบายขึ้นมาว่า “แต่ข้าสัมผัสได้”

“เจ้าสัมผัสได้ว่าอย่างไร?”

หยุนหว่านหนิงมองดูเขาอย่างน่าขำ

“เมื่อกี้นางยิ้มให้กับข้าแล้ว”

ถึงรอยยิ้มจะค่อนข้างฝืนไปหน่อย

แต่ท่ามกลางผู้คนมากมายขนาดนี้ นางอาจจะอาย

“นางยังมาซบอกข้าด้วย”

ถึงหยุนธิงธิงจะรีบหยุดฝีเท้าไว้ทัน แต่อีกนิดเดียวก็ชนซบอกเขาแล้ว

“นางอยู่ต่อหน้าข้า ยังหน้าแดงด้วย สายตากระสับกระส่ายไม่กล้าสบตาข้า ท่าทีต่างๆล้วนบอกชัดเจนว่า คุณหนูสามหยุนรู้สึกดีต่อข้า”

ดูท่าทีจริงจังของโม่เหว่ย....

จู่ๆหยุนหว่านหนิงก็รู้สึกว่า คนตระกูลโม่แต่ละคนล้วนหน้าไม่อาย

เดิมคิดว่าโม่เหว่ยขี้โรค คงไม่เหมือนพวกพี่น้องโม่ฮั่นอี่ว์

แต่ตอนนี้หยุนหว่านหนิงเพิ่งรู้ว่า นางคิดมากไปแล้ว

ยีนของโม่จงหรานนั้น แข็งแกร่งอย่างมาก

พวกเขาหลายพี่น้อง แลดูสุขุมเยือกเย็น

ความจริงแล้วล้วนหน้าไม่อาย แต่ละคนล้วนหลงตัวเอง

“อ๋องโจว เจ้ายื่นมือออกมาข้าตรวจชีพจรให้เจ้า ข้าจะตรวจดูว่าสมองของเจ้ามีปัญหา หรืออาการป่วยยังไม่หายดี ทำให้เจ้ากลายเป็นคนโง่....”

พูดเสร็จ นางก็ไปคว้าจับมือโม่เหว่ย

ที่ไหนได้ เพิ่งยื่นมือออกไปก็ได้ยินเสียงเย็นชาดังขึ้นทางด้านหลังว่า “หยุนหว่านหนิง นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อนงค์ใจพระชายาราชสีห์