หากเป็นตามปกติแล้ว เมื่อโม่จงหรานเดินทางมา หลี่หมัวมัวหาได้ตื่นตระหนกเช่นนี้
เพียงแต่ในบัดนี้ คนในตำหนักกำลังเก็บกวาดร่องรอยการต่อสู้กันเมื่อครู่อยู่
เมื่อครู่นั้นเต๋อเฟยกับหยุนหว่านหนิงได้ขอสู้กันพักหนึ่ง ทำให้ตำหนักหย่งโซ่ววุ่นวายเป็นพัลวัน หากปล่อยให้ฮ่องเต้เห็นภาพนี้เข้าล่ะก็......หลี่หมัวมัวจึงรีบกล่าวว่า “เหนียงเหนียงเพคะ รีบออกไปต้อนรับฮ่องเต้เร็วเข้าเพคะ”
ทางที่ดีควรเชิญชวนฮ่องเต้เสด็จไปเดินเล่นที่อี้ว์ฮวาหยวน รอให้พวกนางเก็บกวาดตำหนักหย่งโซ่วเรียบร้อยแล้วค่อยกลับมา
เต๋อเฟยเหลือบมองดูหยุนหว่านหนิงด้วยแววตาอันดุเดือด
จากนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ของตนแล้วลุกเดินออกไป
ในมิช้าก็ได้ยินเสียงหัวเราะออดอ้อนของนางดังขึ้นจากด้านนอกประตูว่า “ฮ่องเต้เพคะ เหตุใดจึงเสด็จมาในเวลานี้?”
“ข้าได้ยินมาว่าหลังคาของตำหนักหย่งโซ่ว เกือบจะพังยับเยิน ข้าจึงเดินทางมาดูหน่อย”
ยอดเยี่ยม!
มิจำเป็นต้องชวนฮ่องเต้เยี่ยมชมอี้ว์ฮวาหยวนแล้ว
หยุนหว่านหนิงเหลือบตามองดูโม่เฟยเฟย พบว่าโม่จงหรานเดินทางเข้ามาด้วยใบหน้าอันแปลกประหลาด โดยมีเต๋อเฟยเดินตามอยู่ด้านหลังพร้อมอารมณ์ขุ่นมัว เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามา ก็ใช้สายตาแหลมคมเหลือบมองหยุนหว่านหนิง
ทั้งสองคนจึงรีบลุกขึ้นยืนทำความคารวะ “ถวายบังคมเสด็จพ่อ!”
“ลุกขึ้นเถิด”
โม่จงหรานเดินผ่านทั้งสองคน
เมื่อพบว่าในห้องโถงเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง โม่จงหรานดูเหมือนจะเข้าใจ จึงนั่นลงที่ด้านบนอย่างสงบ “สนมรัก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ตำหนักหย่งโซ่วมีโจรอย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงของเขาฟังออกว่าเป็นการเยาะเย้ยหยอกเล่น เต๋อเฟยจึงรู้สึกโล่งอก
นางก้าวขึ้นมาข้างหน้าฝืนยิ้มทูลว่า “ฮ่องเต้เพคะ ทรงเยาะเย้ยหม่อมข้าอยู่หรือ?”
“เมื่อครู่เฟยเฟยบอกว่าหม่อมข้าขาดการออกกำลัง ดังนั้นจึงได้สั่งให้หว่านหนิงออกกำลังเป็นเพื่อนหม่อมข้าสักพัก”
กล่าวจบนางก็เหลือบมองดูหยุนหว่านหนิงด้วยรอยยิ้มกึ่งอาฆาต
สายตาข่มขู่ว่า หากเจ้ากล้ากล่าวเรื่องไร้สาระ ข้าจะตีเจ้าให้ขาหักเชียว!
หยุนหว่านหนิงเข้าใจสิ่งนี้ได้โดยธรรมชาติ
มิว่าอย่างไร ในสายตาของคนรอบข้างนางก็เป็นพวกเดียวกันกับเต๋อเฟย
หากว่าเต๋อเฟยย่ำแย่ จวนอ๋องหมิงก็คงจะแย่เช่นกันด้วย
ดังนั้นนางจึงได้รีบลุกขึ้นแล้วทูลว่า “ใช่แล้วเพคะเสด็จพ่อ เมื่อครู่ลูกมองดูเสด็จแม่แล้ว รู้สึกว่าร่างกายของเสด็จแม่ควรจะออกกำลังกายจริงๆ”
“อ้อ เช่นนั้นหรือ”
โม่จงหรานมองไปทางหยุนหว่านหนิงด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะมองไปทางเต๋อเฟยด้วยท่าทางแปลกๆ เช่นกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้คู่นี้กลมกลืนกันตั้งแต่เมื่อไร?
สีหน้าของเขามืดมนลง “หยุนหว่านหนิง เจ้ากล้าหาญยิ่งนัก กล้าดีอย่างไรเอ่ยวาจาไร้สาระต่อหน้าข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือการหลอกลวงฮ่องเต้!”
จู่ๆ เหตุใดจึงได้พิโรธเล่า......
มีพ่อเช่นไรมีลูกเช่นนั้นจริงด้วย!
โม่เยว่จะโมโหก็โมโหเสียอย่างนั้น คาดว่าคงสืบทอดพันธุกรรมมาจากโม่จงหราน
หยุนหว่านหนิงบ่นอยู่ในใจ แต่ใบหน้าของนางยังคงสงบนิ่ง นางคุกเข่าลงไปด้วยความเคารพ “ลูกช่างโง่เขลานัก มิเข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ!”
ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด นางคุกเข่าต่อหน้าพ่อแม่ทุกๆ วัน
เมื่อมาในโลกนี้ นางก็มักจะคุกเข่าเป็นประจำ เข่าของนางเคยชินเสียแล้ว มิว่าผิดพลาดประการใดนั้นก็เอาแต่คุกเข่า......
โชคร้ายยิ่งนัก
เดิมทีคิดว่าโม่จงหรานจะโมโห
คาดมิถึงว่าเมื่อเขาเห็นหยุนหว่านหนิงคุกเข่าลงไปเช่นนั้น กลับยิ้มขึ้นด้วยความสนุกสนาน “เจ้านี่ช่างโง่เง่าจริงๆ”
“เจ้าถูกแม่สวามีรังแก ข้าเดินทางมาที่นี่แล้วยังมิรู้จักฟ้องข้า ทั้งยังช่วยเต๋อเฟยปิดบังความผิด นี่มิใช่เป็นการโกหกฮ่องเต้หรือ!”
นางได้ยินประโยคนี้ถึงกลับงุนงงไปทีเดียว
นางเงยหน้าขึ้นทันใดและพบเข้ากับรอยยิ้มของโม่จงหราน
เขาหัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย ทำให้เต๋อเฟยที่อยู่ด้านข้างรู้สึกมิพอใจ “ฮ่องเต้เพคะ ทรงเข้าข้างใครกันแน่?”
“เจ้ารังแกสะใภ้ ซ้ำยังมิให้ข้าช่วยนางอย่างงั้นหรือ?”
โม่จงหรานมิได้โกรธแต่เสียงหัวเราะของเขากลับดูก้องกังวาน
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้วเข้าหากัน
นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดโม่จงหรานจึงได้ทะนุถนอมเอ็นดูเต๋อเฟยเป็นเวลาหลายปีมานี้
ดูจากความสัมพันธ์ของทั้งสองแล้ว......หาได้เหมือนฮ่องเต้กับสนมรัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อนงค์ใจพระชายาราชสีห์
อัพใหม่เถอะค่ะ...
เมื่อไรจะอัพเพิ่มคะ ฮือ รอนานมากแล้วววว...
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 353 - 430 หายไปไหน หายยาววววมากกกก...
รอตอนต่อไปจ้า...
สนุกดีอ่านแล้วขำ 555...