“งั้นหรือ จงว่ามาให้ข้าฟัง”
หยุนหว่านหนิงมองไปทางหยุนธิงธิงด้วยความประหลาดใจ
แม้สาวน้อยผู้นี้ หากมิใช่เพราะมิรู้จะไปให้ใครช่วย ก็คงจะมิมาหานางอย่างแน่นอน
เพราะเกลียดนางมากขนาดนั้น
“ข้าอยากออกเรือนให้ไว”
หยุนธิงธิงรวบรวมความกล้าแล้วกล่าวว่า “บัดนี้พี่เองก็เป็นถึงพระชายาอ๋องหมิง เรื่องราวต่างๆ มากมายพี่สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง อีกทั้งพี่ยังมีอ๋องหมิงกับฮ่องเต้คอยสนับสนุน พี่จะต้องช่วยข้าได้แน่”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ น้ำชาในปากของหยุนหว่านหนิงก็แทบจะพ่นออกมา
นางสำลักน้ำชาและไอออกมาอยู่หลายหน
นางวางถ้วยน้ำช้าลงกล่าวว่า “เจ้าว่าอย่างไรนะ? เจ้าอยากจะออกเรือนให้เร็ว เจ้าเพิ่งอายุเท่าไหร่เอง!”
“ข้าอายุมิน้อยแล้ว ข้าอายุสิบห้าแล้วนะ”
หยุนธิงธิงลุกขึ้นพร้อมกับใบหูอันแดงเรื่อ “เมื่อตอนพี่อายุสิบห้า พี่ก็เริ่มมีความรักแล้วมิใช่หรือ เมื่ออายุสิบหกพี่ก็แต่งงานกับอ๋องหมิง”
“อ๋องหมิงอะไรกัน จงเรียกเขาว่าพี่เขย!”
ประโยคที่เรียกเขาว่าอ๋องหมิงเมื่อครู่ ทำให้หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินมัน
หยุนธิงธิงจึงเปลี่ยนคำพูดอย่างว่าง่าย “พี่อายุสิบหกปีก็แต่งงานกับพี่เขยแล้ว”
อืมให้มันได้เช่นนี้สิ
หยุนหว่านหนิงนั่งพิงอยู่ที่พนักเก้าอี้แล้วมองไปทางหยุนธิงธิงด้วยแววตาอันลึกล้ำ
หากว่ามิใช่เพราะถูกบีบบังคับจนไร้หนทาง นางจะยอมออกเรือนไปได้อย่างไร นางมิอยากจะอยู่ในจวนของตนงั้นหรือ
เห็นได้ชัดว่าชีวิตของแม่หนูน้อยคนนี้ที่อยู่ในจวนกั๋วกง คาดว่าก็คงมิง่ายเลย
“เจ้าคิดดีแล้วหรือ?”
หยุนหว่านหนิงเอ่ยเตือนว่า “หากออกเรือนไปแล้วก็มิได้เหมือนกับที่อยู่ในเรือนของตน เมื่อถึงเวลานั้น ต้องคอยรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสองสามีภรรยา อีกทั้งยังต้องคอยรับมือกับความสัมพันธ์ของแม่สามี”
“แล้วก็ยังมีพี่น้องของสามีเหล่านั้นอีก”
“หากเจ้าออกเรือนไปแล้วก็เท่ากับว่าเจ้าเป็นคนของอีกเรือนหนึ่ง และในเรือนนั้นทุกสิ่งอย่างเจ้าต้องเป็นคนจัดการมัน”
หยุนธิงธิงยังเด็กนัก นางจะสามารถปฏิบัติหน้าที่นายหญิงของจวนนั้นได้หรือ?
เพราะเมื่อถึงเวลานั้นนางตัวตนของนางก็คงมิใช่คุณหนูสามแห่งจวนยิ่งกั๋วกงแล้ว
นางเป็นภรรยา เป็นลูกสะใภ้ ในอนาคตนางจะต้องเป็นมารดาด้วย
หยุนหว่านหนิงกล่าวออกมาโดยตรงอย่างมิปิดบังถึงหน้าที่เหล่านี้ว่ามันมิง่ายเลย
นึกถึงเมื่อตอนที่นางแต่งงานออกไป นางก็ถูกกักบริเวณอยู่เกือบสี่ปีมิใช่หรือ? ด้วยความช่วยเหลือจากช่องว่าง จึงทำให้นางค่อยๆ ก้าวมาอยู่ ณ จุดนี้ ในที่สุดก็หลุดพ้น
“ข้าคิดดีแล้ว”
หยุนธิงธิงกล่าวอย่างมิลังเล “หากข้ายังอยู่แต่ในจวนของเราล่ะก็ ชีวิตของข้าน่าเป็นห่วงยิ่งนัก”
“เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าหยุนธิงหลานต้องการจะทำร้ายเจ้าอยู่เสมอ?”
หยุนหว่านหนิงถามออกมาที่อดไม่ได้
หยุนธิงธิงชะงักลงเล็กน้อย
ท้ายที่สุดนางก็มองซ้ายมองขวาแล้วกัดฟันกล่าวถึงเรื่องที่นางรู้สึกกลัวออกมา
ที่แท้เมื่อสามปีก่อน นางพบว่าหยุนธิงหลานกับโม่หุยเฟิงแอบพบปะกัน
“ที่ด้านหลังภูเขาจำลองในสวนดอกไม้ของจวนยิ่งกั๋วกง”
นางจำได้ขึ้นใจ “ในวันนั้นท่านย่าถึงแก่กรรม ในจวนกั๋วกงจึงวุ่นวายอลเวง ท่านพ่อท่านแม่ตกอยู่ในความโศกเศร้าขมขื่น”
“ท่านย่าเอ็นดูข้ายิ่งนัก ข้าจึงมิกล้าร้องไห้ต่อหน้าท่านแม่”
นางเฉินกับฮูหยินใหญ่หยุนมิค่อยถูกกันเท่าไหร่นัก
ตอนที่ฮูหยินใหญ่หยุนจากไป นางเพียงแค่แสร้งน้ำตาไหลต่อหน้าผู้คน แต่นางกำชับหยุนธิงธิงมิให้ร้องไห้ออกมา
ราวกับว่าทำเช่นนี้จะสามารถเอาชนะฮูหยินใหญ่ที่จากไปได้
“ข้าจึงได้แอบไปร้องไห้ที่ด้านหลังภูเขาจำลอง”
หยุนธิงธิงหวนนึกราวในวันนั้น สีหน้าของนางก็ดูเคร่งขรึมเล่าว่า “ข้าได้ยินเสียงแปลกๆ ตอนนั้นท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ข้าเองก็กลัวผี ทั้งยังรู้สึกว่าเสียงนั้นดูคุ้นเคยจึงได้แอบไปดูที่หลังภูเขาจำลอง”
คาดมิถึงว่านางจะเห็นฉากที่มิมีวันลืมได้
ฉากนั้นทำให้นางรู้สึกสะอิดสะเอียนจนแทบจะอาเจียนออกมา
โม่หุยเฟิงยกขาของหยุนธิงหลานขึ้น ส่วนหยุนธิงหลานเอนกายไปที่ภูเขาจำลองนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อนงค์ใจพระชายาราชสีห์
อัพใหม่เถอะค่ะ...
เมื่อไรจะอัพเพิ่มคะ ฮือ รอนานมากแล้วววว...
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 353 - 430 หายไปไหน หายยาววววมากกกก...
รอตอนต่อไปจ้า...
สนุกดีอ่านแล้วขำ 555...