สองชั่วโมงต่อมา...
หลังจากเจ้าบ่าวเจ้าสาวแลกแหวนกันเสร็จ ก็ถึงขั้นตอนพิธีผูกข้อมือ ซึ่งมีแต่แขกระดับใหญ่โต และเพื่อนพ้องคนสนิทของสองตระกูลที่พากันร่วมอวยพร
พอเสร็จพิธีผูกข้อมือ ทุกคนก็พากันไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ห้องรับรองของรีสอร์ต ซึ่งมีดนตรี Acoustic ขับกล่อมด้วยท่วงทำนองที่อ่อนหวาน ไพเราะทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นไอของความรักที่หวานชื่น
สิงขรที่เดินผ่านมาแล้วเห็นลูกน้องคนสนิทยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ ต้นมะขามจึงอดแวะเข้าไปถามไถ่อีกฝ่ายไม่ได้ “โอม! แกเป็นอะไร?”
“ผมดีใจครับพี่สิงห์ที่นายจะมีเมีย” คนที่ดราม่าเงยหน้าขึ้นตอบอย่างดีใจที่เห็นผู้เป็นนายนั่งยิ้มอย่างมีความสุข หลังจากที่อมทุกข์มาได้เกือบปี
“บ้า! หยุดร้องแล้วไปกินข้าว” สิงขรบอกพร้อมกับหัวเราะเบาๆ กับอาการล้นๆ ของลูกน้อง
“ฮึก...ครับ ผมขอไปนั่งที่โต๊ะกับไอ้สมนะครับ” โอมบอกพลางเหลือบมองไปทางเพื่อนรักที่ตอนนี้กำลังเกี้ยวสาวโต๊ะข้างๆ อยู่
“ตามสบาย แต่พี่ต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับผู้ใหญ่นะ” สิงขรบอกพลางส่งสายตามองหานารี
“ครับ พี่สิงห์เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวไปดูแลทางนั้นเถอะ ส่วนทางนี้ผมจะดูแลให้เองครับ” โอมบอกอย่างเข้าใจ
“โอเค! งั้นพี่ไปก่อนนะ” สิงขรพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะใหญ่ที่มีนารีนั่งอยู่
ด้านหิรัญที่หลังจากเดินออกมาถ่ายภาพกับแขกผู้ใหญ่ที่มาร่วมงานเสร็จ ก็หันไปเอ่ยกับน้องชายที่ยืนอยู่ข้างๆ “พี่รู้สึกดีใจนะที่น้องชายจะแต่งงานมีครอบครัว แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกใจหายที่รู้ว่าน้องไวน์จะมาเป็นน้องสะใภ้”
“ทำไมเหรอครับ” ภัคคินัยถามอย่างสงสัย
“ก็กลัวคินจะทำตัวไม่ดี แล้วทำให้สองตระกูลมองหน้ากันไม่ติดน่ะสิ” หิรัญบอกเรื่องที่แอบกังวลอยู่ในใจ
“อย่าห่วงไปเลยครับเสี่ย ยายทำหนังสือสัญญาเอาไว้แล้วว่าหากวันไหน ที่ไอ้คินนอกลู่นอกทาง ก็ให้อาสินยิงทิ้งได้เลย ตระกูลเราจะไม่ติดใจเอาเรื่อง แถมจะยกสมบัติส่วนที่เป็นของไอ้คินให้กับน้องไวน์อีก” ภัคคินัยหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้ เพราะตนคือคนที่เซ็นเป็นพยานในสัญญาที่คล้ายๆ กับจดหมายลาตายของแฝดผู้พี่
“ฮ่าๆๆ นี่พูดจริงเหรอ?” หิรัญหัวเราะด้วยสีหน้าขบขัน ไม่คิดว่าผู้เป็นยายจะร้ายถึงขั้นให้ทนายร่างสัญญาที่เอื้อผลประโยชน์ให้กับวรันยาขนาดนี้
“จริงสิครับ” ภัคคินัยยืนยันเสียงหนักแน่น
“แบบนี้ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย” หิรัญบอกยิ้มๆ
“ผมว่าเราไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่นๆ เถอะครับ” ภัคคินัยเอ่ยชวนเมื่อเห็นบิดามารดาและคนอื่นๆ นั่งพร้อมหน้ากันเรียบร้อยแล้ว
“ไปสิ! ว่าแต่คู่หมั้นของนายไม่มาร่วมงานด้วยเหรอนัย” หิรัญถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้
“เอ่อ...คาร่าติดงานน่ะครับ เห็นว่ากำลังระดมทุนสร้างสถานพยาบาลและโรงเรียนให้กับเด็กๆ ในประเทศที่ด้อยพัฒนาอยู่” ภัคคินัยออกตัวให้ทั้งที่ไม่เคยได้คุยกันจริงๆ จังๆ แต่ตนก็ให้คนตามสืบอยู่ตลอด
“ส่งรายละเอียดต่างๆ ให้เลขาพี่หน่อยแล้วกัน เดี๋ยวจะช่วยสมทบทุนเพิ่ม” หิรัญบอกอย่างสนใจ
“ได้ครับ” ภัคคินัยพยักหน้ารับ เพราะตนเองก็ตั้งใจว่าจะบริจาคให้สาวเจ้าอยู่เหมือนกัน จะได้ไม่ต้องไปตระเวนขอทุนเศรษฐีคนอื่นๆ
โต๊ะวีไอพี...
“เหนื่อยไหมจ้ะน้องไวน์” เจ้าบ่าวที่นั่งอยู่ข้างๆ เจ้าสาวคนสวย เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
“นิดหน่อยค่ะ แล้วพี่คินล่ะคะ” วรันยาถามกลับอย่างรู้สึกเขินนิดๆ
“พี่สบายมากครับ” ภาคินตอบพร้อมกับตักอาหารวางลงในจานให้เจ้าสาวอย่างเอาใจ
“ขอบคุณค่ะ” วรันยาตักอาหารขึ้นรับประทานอย่างรู้สึกประหม่า เพราะมีแต่ผู้คนจับจ้องมาที่เธออยู่ตลอดเวลา
อีกฝั่งของโต๊ะวีไอพี....
“นัยมานั่งด้วยกันเลย” แม่ทัพกวักมือเรียกคนที่กำลังจะเดินผ่านไป
“เออๆ” ภัคคินัยพยักหน้ารับ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ คนเรียกอย่างเสียไม่ได้
“กูโคตรหมั่นไส้เจ้าบ่าวเลยว่ะ” ขุนพันกระซิบบอก
“กูก็เหมือนกัน” แม่ทัพเบ้ปากนิดๆ อย่างเห็นด้วย
“เฮ้อ...ก็แค่คนอินเลิฟ พวกมึงนี่ขี้อิจฉากันจัง” จอมพลบอกพร้อมกับส่ายหน้าอย่างเพลียๆ
“แล้วมึงไม่อิจฉาหรือไงไอ้จอม” ขุนพันถามกลับอย่างข้องใจ
“อิจฉาสิ แต่วันหนึ่งพวกเราก็ต้องเจอคนที่ใช่หรือเปล่าวะ?” จอมพลตอบพลางยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาจิบ
“ขอบคุณค่ะ” วรันยายกมือไหว้ตาม
“เดี๋ยวพี่กับนัยจะดูแลแขกในงานต่อให้เอง ไม่ต้องห่วง” หิรัญส่งยิ้มให้เจ้าบ่าวอย่างรู้สึกขำๆ ที่อีกฝ่ายแกล้งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับแขกในงาน ทั้งที่ปริมาณน้ำในแก้วแทบจะไม่ขยับลงแม้แต่นิด ‘สงสัยงานนี้น้องไวน์จะต้องรับศึกหนักยันเช้าแน่ๆ’
“ขอบคุณครับเสี่ย” ภาคินส่งยิ้มให้พี่ชายที่มองตนด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะเลยไปยังน้องชายฝาแฝดที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ใกล้ๆ “ขอบใจนะนัย”
“กองไว้ตรงนั้น” ภัคคินัยยืมคำพูดที่วรันยาชอบพูดบ่อยๆ มาตอบกลับ
“ฮ่าๆๆ/ฮ่าๆๆ” เรียกเสียงหัวเราะของทุกคนให้ดังขึ้นทันใด
“ขอบคุณพี่นัยมากๆ นะคะ” วรันยายกมือไหว้พลางแอบขำๆ กับ คำล้อเลียนของอีกฝ่าย
“ด้วยความยินดีครับ” ภัคคินัยเอ่ยเสียงหวาน
“หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กันนะ แต่ถ้าให้อภัยไม่ไหว ก็เตะผ่าหมากตามที่พี่เคยสอน โอเค้” หิรัญหันไปกำชับเจ้าสาวเสียงเข้ม
“ค่ะ” วรันยาขานรับพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนเป็นเด็กที่หิรัญมักจะสอนวิธีป้องกันตัวให้อยู่บ่อยๆ ซึ่งหลายกระบวนท่าเธอก็เคยได้ทดสอบใช้กับภาคินมาแล้ว เวลาที่ถูกอีกฝ่ายแกล้งทะลึ่งตึงตังใส่
“โธ่! เสี่ยพูดไม่เป็นมงคลเลย” เจ้าบ่าวโอดครวญ
“ฮ่าๆๆ/ฮ่าๆๆ” ทุกคนพากันหัวเราะอย่างขบขัน
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” ภาคินรีบบอกก่อนที่เพื่อนๆ ในก๊วนจะมาลากกลับไปดื่มที่โต๊ะ
“โอเค ขับรถดีๆ นะ” กังศมาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“ครับยาย ผมไปก่อนนะครับ” ภาคินโบกมือให้ทุกคนก่อนจะเดินอ้อมไปประจำตำแหน่งคนขับ
“ไปก่อนนะคะ” วรันยายกมือไหว้ทุกคนอีกครั้ง แล้วเข้าไปนั่งในรถตามเจ้าบ่าว
ลูคัสปิดประตูให้อย่างเบามือ พร้อมกับหันไปพยักหน้าให้บอดี้การ์ดของตนขับรถตามไปส่งบุตรชายจนถึงเรือนหอ
ภาคินส่งยิ้มให้เจ้าสาว ก่อนจะกดสตาร์ทเครื่องยนต์ แล้วค่อยๆ ขับออกไปตามทางช้าๆ
วรันยาเริ่มใจสั่นขึ้นมานิดๆ เพราะสมองเอาแต่คิดว่าอีกหนึ่งชั่วโมงต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับเธอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภาคิน (ซีรีส์ 3 หนุ่มซานเตียนโน่)