พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 221

ตอนที่ 221 อย่าปล่อยเขาไป

หลีโม่ก็ไม่รู้เรื่องในตำหนักอ๋อง วันนี้นางไปยื่นคำร้องเรื่องเงินที่หู้ปู้ ทางหู้ปู้ไม่ได้ยืดเวลานานเท่าไหร่ เนื่องเพราะความประสงค์ของพระราชโองการแต่งตั้งตันชิงเสี้ยนจู่มีการพระราชทานที่ดินให้แปรงหนึ่ง ที่ดินตันชิงเสี้ยนจู่นี้สามารถใช้ประโยชน์ได้

แต่ว่าการก่อสร้างจวนอีกหลัง ยังจะต้องขอความคิดเห็นจากฮองไทเฮาหรือไม่ก็อ๋องซื่อเจิ้ง และรอคำสั่งการลงมา หู้ปู้จึงไม่ชักช้า รีบแจ้งหลีโม่ให้ทราบ ภายในสามวันนี้ให้นำหนังสือคำร้องเบิกเงินส่งไปที่ห้องอภิปรายงานของอ๋องซื่อเจิ้ง

ก่อนที่จะสร้างจวน หลีโม่จะต้องแยกออกมาจากจวนเฉิงเสี้ยงก่อน

ทะเลสาบของจวนเฉิงเสี้ยง อยู่เชื่อมกับด้านหน้าของจวนและด้านหลังของจวน อีกทั้งในทะเลสาบยังสร้างภูเขาจำลองเอาไว้ด้วย ระเบียงที่เลี้ยวลดคดเขี้ยวสามารถเดินทะลุจากด้านหน้าลานบ้านไปยังด้านหลังของลานบ้านได้ นี่ก็หมายความว่า แม้ทางบกจะถูกปิดเอาไว้ทุกสารทิศ แต่ว่าก็ยังเข้ามาทางระเบียงของทะเลสาบได้

หลีโม่ไปคุยเรื่องนี้กับนายหญิงแก่

“เจ้าว่าอะไรนะ? อยากจะรื้อระเบียงทางเดินกับภูเขาจำลองงั้นหรือ?” เมื่อนายหญิงแก่ได้ยินคำพูดของหลีโม่ ก็โมโหขึ้นมาอย่างมาก จึงปฏิเสธกลับไปทันที “ไม่ได้ ข้าไม่อนุญาต แค่พวกเจ้าสร้างจวนอีกหลัง ก็ฝ่าฝืนกฎระเบียบมากพอแล้ว สวนดอกไม้ด้านหลังก็มีเรือนอยู่แล้ว ข้าจะให้เฉินหลิงหลงย้ายออกมา แล้วพวกเจ้าก็เข้าไปอยู่ที่เรือนนั้นแทน อีกอย่างห้ามตัดป่าไผ่”

หลีโม่กล่าวว่า “นายหญิงแก่ ข้าไม่ได้ปรึกษาหารือกับท่าน แค่อยากจะแจ้งให้ท่านทราบก็เท่านั้น ภูเขาจำลองไม่รื้อก็ย่อมได้ แต่ระเบียงทางเดินบนทะเลสาบจะต้องรื้อออก ท่านวางใจเถอะ ข้าจะเชิญคนมาวัดพื้นที่ จะไม่ใช้พื้นที่ของจวนเฉิงเสี้ยงกับทะเลสาบเกินหนึ่งนิ้วแน่นอน”

“เจ้ากล้างั้นหรือ?” นายหญิงแก่ทำท่าทางดุร้ายแต่ลึกๆ แล้วกลับหวาดกลัว “หากเจ้ากล้ารื้อระเบียงทางเดิน ข้าก็จะไม่มีทางให้พวกเจ้าอยู่ที่หลังสวนดอกไม้ได้”

หลีโม่จ้องใบหน้าที่กระหืดกระหอบของนาง ดูไปแล้วก็เป็นเหมือนคำที่ซือถูเย้นพูดเอาไว้ ภูเขาจำลองกับระเบียงทางเดินนี่ ก็เป็นเปรียบเสมือนฮวงจุ้ยแนวหน้าของนาง

หลีโม่จึงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “นายหญิงแก่ จะวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ นั่นไม่ใช่ที่ของพวกท่าน คำพูดที่ร้ายกาจใครพูดไม่ได้บ้าง? แต่ยุคนี้ใช่ว่าจะพูดร้ายกาจแล้วจะสามารถทำอะไรก็ได้โดยพลการ จวนเฉิงเสี้ยงประมาทมาหลายปี ถึงตอนนี้ก็ควรจะหยุดพักได้แล้ว”

นายหญิงแก่มองนางด้วยสีหน้าล้ำลึก “เจ้าหมายความว่า ตอนนี้ควรจะเป็นยุคกำเริบเสิบสานของเสี้ยหลีโม่อย่างเจ้างั้นหรือ? กบในกะลาแท้ๆ แค่มีอ๋องซื่อเจิ้งคอยถือหางให้ ก็ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาแล้วงั้นหรือ?”

หลีโม่จึงรีบพูดขึ้นมา “มิกล้าหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่เอาของที่ข้าและแม่ของข้าสมควรจะได้รับคืนมาก็เท่านั้น เรื่องนี้ ไม่ว่าเอาไปพูดที่ไหน ก็ต้องมีคนเห็นด้วยกับข้า”

นายหญิงแก่อดกลั้นความโมโหเอาไว้ “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? ต้องการจะเป็นศัตรูกับข้าใช่หรือไม่?”

หลีโม่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าประโยคนี้จะออกมาจากปากของนาง “นายหญิงแก่คิดว่าข้ากำลังเป็นศัตรูกับท่านงั้นหรือ?”

“หรือไม่จริงล่ะ? หลายวันมานี้ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นน้อยงั้นหรือ?”

หลีโม่คลี่ยิ้มขึ้นมา แล้วพูดอย่างประชดประชันว่า “ใช่แล้ว ข้ามันไม่เจียมตัวเอง กล้าเป็นศัตรูกับท่าน เป็นข้าเองที่ขอร้องพวกท่านให้บังคับข้าแต่งงานกับท่านอ๋องเหลียง จากนั้นข้าก็ถอนหมั้นด้วยตัวของข้าเอง แล้วก็เป็นข้าอีกที่เข้าไปแยกเรื่องการหมั้นกับฮองไทฮองในพระราชวังจนต้องบังคับให้หลิงหลงฮูหยินรีบเข้ามาหาฮองไทเฮาอธิบายเหตุผลในวังอย่างเร่งรีบ และเป็นข้าอีกที่อยากจะเผาตัวเองในกองไฟนั่น นายหญิงแก่หมายความว่าเช่นนี้ใช่หรือไม่?”

นายหญิงแก่ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นมา “เสี้ยหลีโม่ เจ้าเลิกทำตัวไม่เกรงใจแบบนี้ได้แล้ว บิดาของเจ้าเลี้ยงเจ้ามาจนเติบใหญ่ ให้เจ้าได้กินได้ดื่มของดีๆ ทำเพื่อครอบครัวสักเรื่องก็ไม่ได้หรือ? ท่านอ๋องเหลียงไม่เหมาะสมกับเจ้าตรงไหน? บิดาของเจ้าคิดเพื่อเจ้าถึงได้ให้เจ้าแต่งงานกับอ๋องเหลียง อย่างน้อยพอเจ้าได้เป็นพระชายาอ๋องเหลียง หลังจากเจ้าแต่งงานออกไปแล้ว เจ้าก็จะได้ตามที่เจ้าปรารถนาทุกอย่าง ทั้งชีวิตของเจ้าจะได้เจริญรุ่งเรือง ความขัดแย้งในวันนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าเจ้าถอนหมั้น เจ้าเป็นเนรคุณของตระกูลเฉิงเสี้ยง”

“จริงๆ แล้วอ๋องเหลียงเป็นคนดีมาก แต่ว่าเจตนาของพวกท่านล่ะคืออะไร? อย่ามาพูดว่าคิดอะไรที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นแทนข้า หากคิดเพื่อข้าจริงๆ คงไม่ปล่อยให้เฉินหลิงหลงกับองค์รัชทายาทตีข้าอยู่ในลานบ้านจนเกือบตายหรอก”

นายหญิงแก่พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง “แล้วเจ้าตายหรือไม่เล่า? ถ้าตายแล้วคงไม่มายืนเอ็ดตะโรเถียงกับข้าอยู่ตรงนี้หรอกกระมัง? วันนั้นที่บิดาของเจ้าจ้องมองเจ้า มันอันตรายจริงๆ บิดาของเจ้าออกมาช่วยเจ้านานแล้ว ที่ทำร้ายเจ้ามันก็ดีสำหรับเจ้า”

หลีโม่ก็หัวเราะขึ้นมาทันที แล้วจ้องไปที่นายหญิงแก่ “เป็นประโยคที่หน้าไม่อายที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมา ไม่มีประโยคไหนสู้ได้เลย ”

นางหัวตัวกลับไป แล้วพูดประโยคหนึ่งออกมาอย่างเย็นชาว่า “ไม่ว่านายหญิงแก่จะเห็นด้วยหรือไม่ ระเบียงทางเดินจะต้องรื้อออกอย่างแน่นอน”

“เจ้ากล้า เจ้ากล้างั้นรึ?” เสียงของนายหญิงแก่เหมือนพายุที่พัดตามหลังมา แต่หลีโม่ก็ทำเป็นไม่ได้ยิน

นางกลับมาที่ลานเสี้ยจื้อ หยิบป้ายที่สลักชื่อเสี้ยหลีโม่ออกมาจากตู้เสื้อผ้าแล้วลูบมันอย่างเบามือ “ในที่สุดข้าก็รู้แล้ว ว่าทำไมความแค้นของเจ้าถึงได้อยู่ในหัวใจข้ามาโดยตลอด เพราะวันนั้นเจ้ารู้ว่าบิดาที่ให้กำเนิดเจ้าแท้ๆ กำลังยืนมองดูเจ้าถูกคนใจดำทุบตีจนตายอยู่ไม่ไกล เสี้ยหลีโม่ เจ้าวางใจเถอะ ความแค้นส่วนนี้ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะต้องช่วยเจ้าแก้แค้นเอง”

ทันใดนั้นก็มีเสียงคนตกใจขึ้นมา หลีโม่มองไป ก็เห็นหลี่ซ่วยหยุ่นเดินออกมาจากด้านหลังผ้าม่าน ในมือของนางถือผ้าไหมอยู่ผืนหนึ่ง น้ำตาไหลพรากลงมานองหน้า

“ข้าจำได้ ด้านในมีผ้าไหมอยู่พับหนึ่ง อยากจะหยิบออกมาตัดชุดให้เจ้า” หลี่ซ่วยหยุ่นเช็ดน้ำตา แล้วเดินเข้ามา มองป้ายที่อยู่ในมือของหลี่โม่ด้วยสายตาพร่ามัว “ข้าไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าทำป้ายชื่อนั้นเพื่อนาง”

“ท่านแม่” หลีโม่วางป้ายชื่อนั้นเอาไว้ แล้วมองไปที่ดวงตาของนาง “ท่านมองเห็นแล้วหรือ?”

“ข้ามองเห็นแล้ว แต่ไม่ชัดเจนเหมือนเมื่อก่อน ถ้าที่ไกลๆ ข้าก็เห็นเป็นแค่เงาที่เลือนราง วันนี้ข้ามองเห็นตั้งแต่เช้า อยากจะบอกกับเจ้า แต่เจ้าออกไปหู้ปู้แล้ว” หลี่ซ่วยหยุ่นกล่าว

ที่นางตาบอด เดิมทีก็เป็นเพราะว่าก้อนเลือดกดทับเส้นประสาทของตาเอาไว้ หลีโม่จึงฝังเข็มให้นางทุกวัน ก้อนเลือดนั่นจึงค่อยๆ สลายออกไป สายตาก็จะค่อยฟื้นฟูกลับมาทีละนิดๆ

“ข้าไม่รู้เลยว่าที่แท้เขาก็อยู่ตรงนั้นมองดูหลีโม่ถูกคนทุบตีจนตายมาโดยตลอด เจ้าบอกว่าความแค้นของหลีโม่ไม่เคยจางหายไป เจ้ารู้ได้อย่างไร?” หลี่ซ่วยหยุ่นมองนางแล้วถาม น้ำตายังคงไหลออกมาจากดวงตาของนาง

หลีโม่เงียบไปครู่หนึ่ง “ในหัวของข้ายังมีความทรงจำของนาง ความรู้สึกของนางยังคงอยู่ แม้กระทั่ง ความแค้นของนางข้าก็ยังรับรู้ได้”

“เจ้ายังมีความทรงจำของนางงั้นหรือ?”

“ความทรงจำส่วนใหญ่ยังคงมีอยู่” หลีโม่กล่าว

หลี่ซ่วยหยุ่นสั่นเทาเล็กน้อย

แบบนั้นแล้ว นางกับหลีโม่คนเดิมมีอะไรที่แตกต่างกันบ้าง? มีความทรงจำ มีความรู้สึกที่เหมือนกัน นั่นก็ยังเป็นคนๆ เดียวกัน พูดได้ว่าความทรงจำที่มากมายมาจากไหนก็ไม่รู้ บางทีนางอาจจะเป็นหลีโม่ แต่เพราะว่าการถูกทำร้ายในวันนั้น ทำให้นางจำชีวิตในชาติที่แล้วได้

เมื่อหลี่ซ่วยหยุ่นคิดเช่นนี้ จิตใจของนางก็รู้สึกตื้นตันใจขึ้นมา

แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนที่มีเหตุผล วิธีคิดเช่นนี้อยู่ได้ไม่นานนัก เพราะคนที่อยู่ข้างหน้านี้ นอกจากความทรงจำและร่างกายของหลีโม่แล้ว ที่เหลือก็ไม่มีอะไรเหมือนกันแล้ว

ถึงแม้ว่าเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่ได้ผิดหวังแต่อย่างใด เพราะว่านางกับหลีโม่ผู้นี้ ก็มีความทรงจำในช่วงเวลานั้นด้วยกัน

“หลีโม่” จู่ๆ หลี่ซ่วยหยุ่นก็จับมือนางขึ้นมา “รับปากข้า อย่าปล่อยเขาไป เขาจะเย็นชาและอำมหิตกับข้าอย่างไร ข้าก็รับได้ทั้งนั้น จนข้าตาบอด แต่ว่าเขาไม่มีสิทธิ์มาทำร้ายหลีโม่”

“ท่านแม่ วางใจเถอะ ข้าไม่คิดจะปล่อยเขาไปแน่นอน คนทำร้ายเสี้ยหลีโม่ทุกคน ข้าจะไม่ปล่อยพวกนั้นไปอย่างแน่นอน” หลีโม่กล่าวคำสาบานออกมา

ไม่ว่าจะเป็นเสี้ยหลีโม่เมื่อก่อน หรือเสี้ยหลีโมในตอนนี้ ใครที่เคยรังแก ล้วนต้องมีค่าตอบแทนทุกคน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม