พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 319

ตอนที่ 319 หลิ่วหลิ่วอดอาหารประท้วง

ซุ่ยยุ่นรู้สึกงุนงง “บ่าวเองก็ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ อาจจะลองไปแถวๆ จวนโจวดูเจ้าค่ะ”

รับใช้นายหญิงแก่มาจนครึ่งชีวิต นางเองก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะไปที่ไหน

“เหตุใดต้องระหกระเหินไปทั่วด้วยเล่า? ที่บ้านของเจ้าไม่ใช่ว่าฐานะดีขึ้นมาแล้วหรือ? หลายปีมานี้เจ้าควรจะมีเงินเก็บไม่น้อยแล้ว” หลี่ซ่วยหยุ่นกล่าว

ซุ่ยยุ่นยิ้มอย่างขมขื่น “หลานชายของบ่าวก็แต่งงานกันหมดแล้ว ใครจะยอมเลี้ยงดูบ่าวล่ะเจ้าคะ? อีกอย่าง หลายปีเช่นนี้ ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว พวกเขาสร้างห้องเพื่อแต่งภรรยาให้กำเนิดลูกน้อยแล้วเจ้าค่ะ”

“เงินของเจ้าให้พวกเขาหมดแล้ว แต่พวกเขาไม่ยอมเลี้ยงดูเจ้างั้นหรือ?” หลี่ซ่วยหยุ่นถามด้วยความไม่เข้าใจ

“ไม่ได้บอกว่าไม่ยอมหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่บ่าวมีมือมีเท้า เมื่อก่อนให้เงินพวกเขา ก็ไม่เคยคิดจะให้พวกเขาตอบแทนสิ่งใดกลับมา ตอนนี้ตกทุกข์ได้ยาก จะกลับไปให้พวกเขาเลี้ยงดูได้อย่างไร?”

หลี่ซ่วยหยุ่นคิดครู่หนึ่ง “เอาอย่างนี้สิ ยังไงที่นี่ข้าก็ยังขาดคนที่รู้ทุกอย่าง หากเจ้าไม่รังเกียจ ก็อยู่ทำงานซะที่นี่เถอะ”

หลีโม่ตะลึงงัน รีบดึงมือของหลี่ซ่วยหยุ่นทันที “ท่านแม่ ข้าขอพูดกับท่านหน่อย”

นางดึงหลี่ซ่วยหยุ่นเข้าไปในห้องไม้ สีหน้าท่าทางของนางแสดงออกมาอย่างชัดเจน “ท่านแม่ หากท่านขาดคนล่ะก็ ข้าให้เสี่ยวซุนมารับใช้ท่านก็ได้ แต่ข้าไม่เห็นด้วยกับการที่ท่านจะรับนางมาเลี้ยงดูต่อนะเจ้าคะ”

“เจ้าคิดว่านางจะขายตัวเป็นทาสให้กับข้าอย่างนั้นหรือ? แล้วยังจะมาทำร้ายข้าด้วยใช่หรือไม่?” หลี่ซ่วยหยุ่นเอ่ยถาม

หลี่โม่จึงพูดว่า “ข้าไม่รู้หรอก แต่ระวังเอาไว้ก่อนก็ไม่ใช่เรื่องผิด”

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลเรื่องอะไร แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ ซุ่ยยุ่นผู้นี้ข้ารู้ดี นางไม่เหมือนกับหลานยู้ แม้เมื่อก่อนนางจะเคยทำให้ข้าลำบาก แต่หลังจากที่ลงมือนางก็เคยขอให้ข้าให้อภัยนาง เมื่อผ่านครั้งนี้ไปแล้ว เจ้าก็มีบุญคุณต่อครอบครัวของนางที่ทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อ นางควรจะรักและหวงแหนโอกาสในครั้งนี้ จวนเฉิงเสี้ยงได้สิ้นอำนาจลงไปแล้ว นางจะยังเป็นเช่นไรได้เล่า?”

หลีโม่กล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้หากต้องการใช้คนก็ใช่ว่าไม่มีใครให้ใช้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้คนที่อยู่กับนายหญิงแก่ก็ได้”

“ไม่ต้องเครียดไป วางใจเถอะ” หลี่ซ่วยหยุ่นตบมือนางเบาๆ พร้อมกับพูดออกมา

เมื่อหลีโม่เห็นนางยึดมั่นในความคิดของตนเช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก ได้แต่หวังว่าซุ่ยยุ่นหลังจากผ่านเรื่องทั้งหมดนี้ไปแล้ว นางจะไม่เหลือใจที่คิดคดทรยศอะไรอีก

เมื่อซุ่ยยุ่นกูกูได้ยินว่าหลีโม่เองก็ไม่คัดค้านเรื่องจะให้นางอยู่ต่อ จึงคุกเข่าโขลกหัวลงตรงนั้น น้ำตาของความเสียใจไหลพรากลงมาเต็มใบหน้าของนาง “บ่าวขอบคุณบุญคุณอันใหญ่หลวงนี้ของเสี้ยนจู่และคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”

หลีโม่มองไปที่นาง “ซุ่ยยุ่นกูกู ไม่ใช่ข้าเห็นด้วยกับการให้เจ้าอยู่ที่นี่ต่อ แต่เป็นท่านแม่ของข้า นางบอกว่าเจ้าไม่เหมือนหลานหยู้ เจ้าไม่มีทางจะทำร้ายนาง ข้าก็หวังว่าเจ้าจะไม่ทำผิดต่อความเชื่อใจที่นางมีต่อเจ้า”

ซุ่ยยุ่นกูกูพูดทั้งน้ำตา “คุณหนูใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ บ่าวไม่มีทางทำร้ายเสี้ยนจู่แน่ หากไม่ใช่เพราะว่าเสี้ยนจู่รับบ่าวเอาไว้ บ่าวไม่รู้จริงๆว่าควรจะไปที่ไหน บ่าวจะรักษาโอกาสที่เสี้ยนจู่ให้ไว้เป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”

หลีโม่กล่าวว่า “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”

เมื่อถึงตอนเที่ยง คนของอ๋องอานชินก็มา คนที่มามีทั้งหมดสิบสามคน สาวใช้สองคน นอกนั้นเป็นทหารองครักษ์ เมื่อดูท่าทางการเดินแล้วก็รู้ว่าทุกคนล้วนเป็นคนที่ฝึกวรยุทธ์มาทั้งนั้น แม้แต่สาวใช้ก็ไม่ธรรมดา

อ๋องอานชินก็มาด้วยแต่ไม่ได้เข้าไปด้านในด้วย เขานั่งรออยู่ในรถม้าที่จอดอยู่หน้าประตูตำหนัก

หลีโม่ออกไปเปิดผ้าม่าน “ท่านอ๋องไม่เข้าไปด้วยหรือเพคะ?” วันนี้อ๋องอานชินสวมเสื้อคลุมสีดำ ผ้าโพกหัวสีขาว ดูสง่าและมีภูมิฐานเป็นอย่างมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่หรอกเมื่อถึงเวลาเข้าไป ข้าค่อยเข้าไปแล้วกัน”

“ช่วงเวลาที่สหายได้พบหน้า พูดคุยกัน ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” หลีโม่รู้สึกว่าเขารักษามารยาทเกินไปแล้ว

อ๋องอานชินส่ายหน้า “ระหว่างสหาย เมื่อพบหน้าย่อมคุยกันได้ ทว่าข้ากับนางไม่ใช่เพื่อนกัน และไม่ยอมจะเป็นเพียงสหาย ดังนั้น ข้าจะรอให้นางพร้อมก่อน ค่อยไปพบนาง”

“เช่นนั้นท่านจะรอไปจนถึงเมื่อไหร่กัน?” หลีโม่รู้สึกว่ามันสู้ทำใจให้กล้าแล้วตามจีบจะดีกว่า และแน่นอนว่า นางคิดแบบคนยุคปัจจุบัน

เมื่อหลีโม่ได้ยินเขาพูดมาเช่นนี้ จึงไม่พยายามพูดโน้มน้าวต่อ “เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันก็ขอขอบพระทัยท่านอ๋องแทนท่านแม่ของหม่อมฉันก็แล้วกัน”

อ๋องอานชินเอื้อมมือมาแตะครู่หนึ่ง “เจ้าไม่ต้องขอบใจข้าหรอก ข้าทำเพื่อสตรีของข้า ไม่ว่าใครก็ไม่จำเป็นต้องมาขอบใจข้า”

เมื่อได้ยินคำตอบที่จริงจังเช่นนี้ หลีโม่ก็นับว่าสบายใจแล้ว จึงถอนสายบัว “ท่านอ๋องรออยู่ตรงนี้ก็แล้วกันเพคะ”

หลังจากหลีโม่ออกมาจากเรือนทิงอวี่เซวียน จึงตรงไปที่ตำหนักอ๋องเหลียง

แต่กลับถูกแจ้งให้ทราบว่าฮองเฮาเรียกอ๋องเหลียงให้เข้าวัง เขาจึงเข้าวังไปตั้งแต่เช้าแล้ว ตอนนี้ยังไม่กลับออกมา

หัวใจของหลีโม่เต้นระรัว หรือว่าฮองเฮาคิดจะให้อ๋องเหลียงยอมแพ้เรื่องการรักษาแล้ว?

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางจึงพูดกับบ่าวรับใช้ในตำหนักว่า “ข้าจะรอเขากลับมาอยู่ที่นี่”

เมื่อสิ้นเสียง ซูชิงก็มาหาอ๋องเหลียงเช่นเดียวกัน ได้ยินว่าอ๋องเหลียงเข้าวัง เขาจึงยิ้มแย้มกล่าวว่า “หรือว่าฮองเฮารู้ว่าเขาไล่สตรีออกจากจวน จึงอยากจะเลือกเหล่าสตรีให้กับเขาอีกกลุ่ม?”

ซูชิงกับเซียวโธ่พวกเขาสองคนไม่รู้โรคลับของอ๋องเหลียง ย่อมไม่รู้ว่าที่ฮองเฮาหาสตรีเข้ามาอยู่ในตำหนักมากมายขนาดนั้นเพื่อมาตบตาผู้คน

หลีโม่นึกถึงอี้เอ๋อร์ที่พวกเขาเคยพูดถึงเมื่อก่อน จึงถามขึ้นมาว่า “อ๋องเหลียงมีสตรีที่ปรารถนาในใจอยู่ไม่ใช่หรือ? ใช่สตรีที่ชื่อว่าอี้เอ๋อร์หรือไม่?”

“นางคืออี้เอ๋อร์ แต่รักแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร ที่ผ่านมาเขาไม่เคยพูดเลย อี้เอ๋อร์เองก็ไม่รู้ว่าออกเรือนไปหรือยัง!” ซูชิงกล่าว

“เจ้าเล่าเรื่องของอี้เอ๋อร์ผู้นี้ให้ข้าฟังหน่อยสิ” หลีโม่กล่าว

ซูชิงนั่งลง “ก็ไม่มีอะไรให้พูดมากนัก แม้จะรัก ฮองเฮาก็ไม่ยอมให้เขาสู่ขออี้เอ๋อร์”

“ทำไมล่ะ?” หลีโม่แปลกใจยิ่งนัก

“ฮองเฮาจะยอมให้อ๋องเหลียงแต่งงานกับสตรีสามัญชนได้อย่างไร? ทั้งยังเป็นสตรีชาวซีเหลียงอีกด้วย”

“สตรีชาวซีเหลียงงั้นหรือ? อี้เอ๋อร์เป็นสตรีชาวซีเหลียงงั้นหรือ” หลีโม่ตะลึงงัน

“ใช่แล้วล่ะ”

แคว้นซีเหลียงเป็นแคว้นที่ตั้งของอ๋องหนานหวย แคว้นซีเหลียงเป็นประเทศทุ่งหญ้า หลายปีมานี้เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน มีความคล้ายคลึงกับประเทศมองโกเลียที่หลีโม่รู้จัก

หากเป็นสตรีนอกอาณาเขต ทั้งยังเป็นสามัญชน เกรงว่าฮองเฮาไม่มีทางเห็นด้วยอย่างแน่นอน

น่าเสียดายกับความรักอันลึกซึ้งของอ๋องเหลียงในครั้งนี้

“พวกเขารู้จักกันได้อย่างไร?” หลีโม่เอ่ยถาม

“เรื่องของขั้นตอนข้าเองก็ไม่รู้ละเอียดเท่าไรนัก แต่ได้ยินมาว่าอี้เอ๋อร์เคยช่วยชีวิตอ๋องเหลียงครั้งหนึ่ง เพียงแต่ว่า เหมือนนางจะไม่รู้ฐานะของอ๋องเหลียง”

“แค่นี้หรือ?” หลีโม่ถามเอ่ยถาม “เช่นนั้นนอกจากเรื่องนี้ เจ้ายังรู้อะไรอีกบ้าง?”

“ไม่รู้อะไรแล้ว เจ้าอยากรู้เรื่องของคนอื่นมากมายขนาดนั้นไปเพื่ออะไร? หากเจ้าว่างงาน ไม่ลองไปพูดโน้มน้าวใจหลิ่วหลิ่วดูล่ะ เพื่อเซียวโธ่ นางใกล้จะตายอยู่แล้ว” ซูชิงถอนหายใจพูด

หลีโม่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจมาก นางเพิ่งจะนึกได้ว่าไม่ได้เจอหลิ่วหลิ่วนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่นางจะเริ่มรักษาให้อ๋องเหลียง และไม่เห็นนางมาเยี่ยมด้วย

“นางเป็นอะไร?” หลีโม่รีบถามขึ้นมาทันที

“เดือนหน้านางจะสิบเก้าปีแล้ว ย่าของนางจัดการเรื่องแต่งงานให้ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางก็ไม่ยอมออกเรือน ตอนนี้นางก่อเรื่องอดอาหารประท้วงย่าของนางแล้ว” ซูชิงกล่าว

“มิน่าล่ะ แล้วเซียวโธ่เจ้าวัวซื่อบื่อนั่นล่ะ? เจ้าได้พูดเรื่องของหลิ่วหลิ่วให้เขาฟังหรือไม่?”

ซูชิงพูดอย่างโมโหว่า “ทำไมข้าจะไม่พูด? แต่เขาบอกแล้ว ไม่อยากแต่งงาน และเขาก็ไม่ชอบหลิ่วหลิ่วด้วย”

หลีโม่คิดไม่ถึงว่าเซียวโธ่จะมีท่าทีตอบโต้เช่นนี้ นางรู้สึกผิดหวังอย่างอดไม่ได้ แต่นางก็เข้าใจเรื่องของความรู้สึกดีจึงไม่สามารถบังคับได้ หากเซียวโธ่ไม่ได้ชอบหลิ่วหลิ่วจริงๆ แต่กลับบังคับเขาให้ขอหลิ่วหลิ่วแต่งนาง มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขายิ่งนัก

เพียงแต่สิ่งที่นางสงสัยก็คือไม่มีใครบอกเหล่าไท่จุนหรือว่านั่นเป็นข้อจำกัดที่ไม่มีเหตุผลเอามากๆ?

เฮ้อ ช่างเถอะ เรื่องนี้ยังบอกว่าแน่นอนเกินไปไม่ได้ ตั้งแต่ได้พบไท่ฮองไท่เฮา คิดเรื่องที่ตัวเองข้ามเวลามาที่นี่ มีเรื่องไหนบ้างที่ไม่ใช่เรื่องไม่มีเหตุผล?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม