พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 61

สรุปบท บทที่ 61 มารดาเจ้าสบายดีหรือ: พิษรักองค์ชายโฉมงาม

อ่านสรุป บทที่ 61 มารดาเจ้าสบายดีหรือ จาก พิษรักองค์ชายโฉมงาม โดย ใบไม้แดง

บทที่ บทที่ 61 มารดาเจ้าสบายดีหรือ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายโรแมนซ์ พิษรักองค์ชายโฉมงาม ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย ใบไม้แดง อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 61 มารดาเจ้าสบายดีหรือ

ฮองเฮามองยังนาง ในดวงเนตรทอประกายวาววับ “สองเดือน”

นางแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นเขาอาการดีขึ้น ก่อนหน้าเสี้ยหลีโม่บอกว่าอาฮ่าวต้องใช้เวลาสามวันกว่าที่จะพ้นขีดอันตราย ทว่าตอนนี้ไม่ถึงสองวัน อาฮ่าวก็เสถียรภาพขึ้นมาแล้ว

หลีโม่ยิ้มเจื่อน “พระนาง อาการป่วยของพระองค์มิใช่วันสองวันแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่จะสร้างกระดูกหักขึ้นมาใหม่”

“เอาล่ะ สามเดือน หลังจากสามเดือน แม้นไร้หนทางรักษาอ๋องเหลียง เจ้าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ย่อมรู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอะไร” ฮองเฮาตรัสอย่างเย็นชา

หลีโม่ย่อมรู้โดยธรรมชาติ แม้นรักษาอ๋องเหลียงไม่หาย ทั้งนางยังรู้ถึงความลับของอ๋องเหลียงอีก ฮองเฮาจะเหลือนางทิ้งไว้บนโลกใบนี้ได้อย่างไรกัน

นางกล่าว “พระนาง สามเดือนถึงครึ่งปี นี่คือคำตอบสุดท้ายที่หม่อมฉันจะมอบให้แด่พระนางฮองเฮา”

ฮองเฮาตรัสเสียงเข้ม “เสี้ยหลีโม่ ได้คืบจะเอาศอก ก่อนหน้าเจ้าบอกว่าหลังจากสามวันอ๋องเหลียงจึงจะพ้นขีดอันตราย ปัจจุบันก็เพิ่งจะสองวัน”

เสี้ยหลีโม่ส่ายหน้า “พระนาง นี่ไม่เหมือนกัน โรคปอดอักเสบจากการหายใจของอ๋องเหลียงครั้งนี้เกิดจากการเจ็บป่วยที่รุนแรง การรักษาที่เหมาะสมจะต้องดูพื้นฐานของอ๋องเหลียงด้วย ดังนั้นจึงอาการเสถียรได้ง่าย อีกประการ ตอนนี้ก็เป็นเพียงเสถียร ยังต้องมีการรักษาขั้นต่อไปอีก ในส่วนอาการเจ็บที่ขาและบาดเจ็บอื่นๆ ต้องรอให้อ๋องเหลียงหายดีก่อนจึงจะเริ่มการรักษา มิเช่นนั้นเขาจะไม่สามารถทนความเจ็บปวดจากการเกิดใหม่ของกระดูกหักได้”

เมื่อเห็นการยืนกรานของนาง ฮองเฮาจึงตรัสถามอย่างกังขา “เจ้าแน่ใจว่ามิใช่กำลังแชเชือนข้า?”

หลีโม่สบเนตรฮองเฮาตรงๆ “พระนาง เรื่องมาจนถึงขั้นนี้ ท่านคิดจริงๆ หรือว่าสมาชิกในครอบครัวข้าเหล่านั้นจะถ่วงหม่อมฉันได้ หม่อมฉันไร้ความจำเป็นต้องแชเชือนพระนางฮองเฮา หม่อมฉันออกตัวว่าจะรักษาอ๋องเหลียง เป็นเพราะหม่อมฉันรู้สึกละอายเรื่องการแต่งงานต่ออ๋องเหลียง หม่อมฉันอยากชดเชย”

ฮองเฮาขรึมลงตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ “เอาล่ะ สามเดือนจนถึงครึ่งปี แต่ว่าหลังจากสามเดือน เจ้าจำเป็นต้องให้ข้าได้เห็นถึงประสิทธิภาพ”

หลีโม่ตอบรับ ฮองเฮาสั่งให้นางกลับตำหนักฉางเซิงเพื่อเฝ้าอ๋องเหลียง

นอกตำหนักฉางเซิง ยังคงมีทหารอารักขาเนืองแน่น

มาถึงตำหนักฉางเซิง ประจวบกับเห็นซือถูเย้นเดินออกมาจากด้านใน จากนั้นเขาก็ส่งภาพที่ได้รับจากทางฮองเฮาให้แก่หลีโม่ “ประเดี๋ยวอ๋องอานชินจะเข้าวัง เจ้านำภาพนี้มอบแก่เขาเสีย”

หลีโม่รับเอาไว้ พลางเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “ท่านอ๋องรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะเข้าวัง”

ซือถูเย้นยิ้มบางๆ “เขาจะมาแน่ ทั้งยังจะมาอย่างรวดเร็วด้วย”

หลีโม่ตกตะลึง “จริงหรือ”

ซือถูเย้นหมุนกายจากไป ก่อนจาก ยังหันหน้ามาเอ่ยกำชับ “ค่ำนี้ข้ามิอาจเข้าวังมาอีก เจ้าเฝ้าอย่างรัดกุมหน่อย”

“ท่านอ๋องจะไปที่ใด” หลีโม่พลั้งปากเอ่ยออกไป หลังจากถามออกไปก็ค่อนข้างเสียใจภายหลัง นี่มิใช่สิ่งที่นางควรถามเสียหน่อย

ดวงตาของซือถูเย้นค่อนข้างพิศวง เสมือนไม่ได้คาดคิดว่านางจะถามเยี่ยงนี้ แต่ว่า เขายังเอ่ยตอบคำถาม “คืนนี้ข้ามีเรื่องต้องทำ”

หลีโม่มองเขาจากไป เห็นจื่นเฉิงเดินเข้ามาจากด้านนอก จื่นเฉิงสวมชุดเกราะทั้งกาย จื่นเฉิงไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรกับเขาดี เห็นเพียงเขาหยัดกายมั่น ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ จากไป

หลีโม่แอบประหลาดใจ สวมชุดเกราะเช่นนี้ หรือว่าจะไปสวนสนามกันนะ

แต่ว่านี่มันดึกดื่นแล้ว เดินสวนสนามอะไรกันเล่า

ทว่า นี่มันเกี่ยวอะไรกับนางกันเล่า นางยิ้มๆ ก่อนหมุนกายเดินเข้าตำหนักไป

กลางตำหนักอ๋องเหลียงดื่มน้ำซุปข้าวแล้วเล็กน้อย อาจีน คนรับใช้ของเขาคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ เห็นนางเข้ามา อาจีนก็ออกไปต้อนรับ ยิ้มอย่างอ่อนโยน “คุณหนูใหญ่มาแล้ว?”

หลีโม่ตอบรับหนึ่งคำ “พระองค์ดื่มไปเท่าใดแล้ว”

“หนึ่งส่วนสี่” อาจีนกล่าว

“เอาล่ะ เกือบจะหมดแล้ว” หลีโม่ให้อาจีนออกไปก่อน

นางเดินเข้าไป อ๋องเหลียงถูกปกคลุมทั้งร่าง ทั้งยังดื่มซุปข้าวร้อนๆ อีก หน้าผากจึงผุดเหงื่อเม็ดเป้งออกมา

หลีโม่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับให้เขา ก้มหน้าก็เห็นอ๋องเหลียงใช้ดวงตาสีดำขลับมองนาง

เขากล่าว “เสี้ยหลีโม่ เจ้ากับคนนอกพูดไม่เหมือนกัน”

แต่ว่า ในส่วนการตักเตือนของอ๋องเหลียง นางรู้ว่าเป็นเจตนาดี

ไม่ช้านานเกินไป นางตัวลำพังยากจะสนุบสนุน ทำได้เพียงใช้ประโยชน์จากคนบางคนเท่านั้นแล้ว

อ๋องเหลียงเอ่ยวาจาก็ค่อนข้างล้าแล้ว หลีโม่เปลี่ยนผ้าห่มเป็นผืนบางๆ ให้แก่เขา ให้เขานอนหลับ

นางดับเทียนกลางตำหนักลง จากนั้นก็จุดตะเกียงน้ำมั่นถั่วขึ้น

นั่งท่ามกลางตำหนัก ความเบื่อหน่ายแผ่ขยาย จึงเริ่มวินิจฉัยแผนการรักษาของอ๋องเหลียง

ทันทีที่หยิบปากกาเขียนใบสั่งยา ก็เห็นหยางมามาเดินนำคนๆ หนึ่งเข้ามา

คนผู้นั้นหน้าคมหล่อเหลา ผิวพรรณสีคร้าม ทั้งร่างสวมชุดมังกรทองสี่กรงเล็บ ช่วงเอวพันด้วยหยกทองคำ ในมือถือดาบหยกมรกตเล่มหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่ดำสนิท ประดุจบ่อน้ำโบราณสองแห่งที่มองไม่เห็นก้นบ่อ ยืนอยู่ตรงนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความหม่นหมองโดยไร้สาเหตุ

แม้ว่าเขาจะจงใจปกปิดกลิ่นอายรอบตัวเอาไว้ แต่กลับยังดันทุรังพวยพุ่งออกมา

หลีโม่อยู่ในกองฉุกเฉินพิเศษ รู้ว่ากลิ่นอายที่หลบซ่อนไม่เผยเช่นนี้มีเพียงคนออกรบเท่านั้นจึงจะปรากฏได้

นางมองตาเดียวก็จำได้ว่าคนผู้นั้นคือใคร ท่วงท่าเหยียดตรง ก้าวไปข้างหน้าเพื่อถอยสายบัว “เสี้ยหลีโม่คารวะอ๋องอานชิน”

อ๋องอานชินมองยังหลีโม่ ในสมองผุดภาพสตรีผู้สวมชุดพิธีคล้องคอแดงในวันนั้น เขาเอ่ยเบาๆ “เจ้าก็คือหลีโม่?”

หลีโม่หรี่ตาลง “เรียนท่านอ๋อง ใช่แล้วเจ้าค่ะ”

อ๋องอานชินตอบรับ มองอ๋องเหลียงอย่างไม่รีบร้อน กลับเอ่ยถามหลีโม่ “มารดาเจ้าสบายดีหรือ”

หลีโม่ประหลาดใจเล็กน้อย ประโยคนี้ เสมือนว่าไม่ควรถามอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ อย่างไรเสีย นอกตำหนักยังมีหมอหลวงหลายนายยืนอยู่ ไฉนอ๋องอานชินจึงไม่หลีกเลี่ยงคำครหาเลยสักน้อย?

แต่ว่า หลีโม่ยังคงเอ่ยตอบตามปกติ “เรียนคำของท่านอ๋อง นางสบายดีเจ้าค่ะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม