พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 637

บทที่ 637 มีศัตรูเข้ามารุกราน

เหล่าไท่จุนพูดต่ออย่างโกรธเคืองว่า “ยายรับใช้แก่คนนั้นยังต่อว่าข้า พูดเป็นข้อความยาวว่า ความเมตตาทำให้ศีลธรรมดี,ศีลธรรมดีทำให้การเมืองดี,การเมืองดีทำให้ประชาชนอยู่เป็นสุข ข้าไม่เข้าใจเลย ทำให้ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ”

หลีโม่รู้สึกว่าเรื่องราวจะไปกันใหญ่แล้ว เหลาไท่จุนมีสถานะยังไง? ถึงจะไม่รู้กฎระเบียบในวัง มากสุดก็แค่พูดตักเตือนก็พอ ทำไมต้องลงโทษให้คุกเข่า? นางเป็นถึงนักรบผู้มีผลงานในราชสำนัก ได้รับการยกย่องจากประชาชน ทำให้นางเสียหน้าเช่นนี้ ดูเหมือนว่าคงจะไม่ใช่แค่มารยาททางศีลธรรมแล้ว

หลีโม่ถามขึ้นว่า “ที่ผ่านมานี้ท่านเคยผิดใจอะไรกับอองไทเฮาคนนี้มาก่อนหรือเปล่า?”

เหลาไท่จุนพูดขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า “จะไปมีเรื่องกับหญิงแบบนี้ที่ไหน...” นางพูดอยู่ดีดีแล้วก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่แปบหนึ่ง “เจ้าพูดแบบนี้ ทำให้ข้าคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เพียงแต่ เรื่องนั้นก็แค่พูดกันเล่นๆเอง หรือว่านางเอากลับไปคิดเครียดแค้น?”

“เรื่องอะไร?” หลีโม่รีบถามขึ้น

เหลาไท่จุนพูดว่า “เป็นเรื่องที่นานมากแล้ว ตอนนั้นฮ่องเต้ยังไม่ขึ้นของราชย์ วันนั้นข้าเข้าวังไปพบไทฮองไทเฮา นางก็คุกเข่าอยู่ตรงหน้าไทฮองไทเฮา ทีแรกข้าก็อยากออกไป แต่ไมฮองไทเฮาก็ไม่ถือสา ให้ข้าอยู่ฟังด้วย ที่แท้ก็เพราะไท่จื่อเฟยคนนี้อิจฉาเหลียงหยวนที่ตั้งครรภ์บุตรขององค์รัชทายาท จึงวางยาพิษในอาหารให้เหลียงหยวนแท้ง ตอนนั้นข้าออกทนไม่ไหว จึงพูดขึ้นว่า ในวังนี้ทำไมถึงได้ไปเรียนรู้ความร้ายกาจของหญิงชั่วเช่นนี้ อยู่ดีๆก็ไปทำร้ายชีวิตคนคนหนึ่ง ตอนนั้นข้าก็รู้สึกว่าแววตาที่หน้ามองมาแฝงไปด้วยความชั่วร้ายอย่างบอกไม่ถูก ข้าก็รู้ขึ้นมาทันทีว่าเสียมารยาท จึงนั่งเงียบไม่พูดอะไรอีก ต่อมาไทฮองไทเฮาจะปลดตำแหน่งไท่จื่อเฟยของนาง แล้วขับไล่ออกไป มีฮ่องเต้องค์ก่อนขอไว้ บอกว่าเห็นแก่พ่อของนาง ให้โอกาสนางหนึ่งครั้ง ดังนั้นต่อมาจึงปลดลดกลายเป็นเหลียงหยวน”

เหลาไทจุนขมวดคิ้ว และก็คิดอย่างละเอียด แล้วพูดขึ้นว่า “หลังจากที่นางถูกปลดให้เป็นเหลียงหยวน มีครั้งหนึ่งที่ข้าเข้าหวังแล้วไปพบเจอนางที่สวนดอกไม้ ตอนนั้นนางยิ้มแล้วพูดกับข้าว่า ขอบคุณที่ข้าช่วยพูดต่อหน้าไทฮองไทเฮา บุญคุณนี้ นางจะไม่มีวันลืม จะตอบแทนข้าทำไม ตอนนั้นข้าก็ยังงงๆ คิดอยู่ว่าข้าเคยไปช่วยนางพูดตอนไหน? เรื่องเลวร้ายที่นางกระทำ เป็นสิ่งที่ข้าเกลียดชังที่สุดด้วยซ้ำ”

หลีโม่ถอนหายใจ เหลาไท่จุนเป็นคนที่ตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว จะไปตามทันความคิดที่คดเคี้ยวของหญิงพวกนั้นได้อย่างไร?

สีไท่เฟยนั่นคงเกลียดนางตั้งแต่แรกแล้ว แต่เพราะตัวเองไม่มีอำนาจ บวกกับอำนาจเหลาไท่จุนที่มี นางไม่สามารถแตะต้องได้

ตอนนี้มีอำนาจแล้ว ยังถูกแต่งตั้งให้เป็นฮองไทเฮา นับว่ามีอำนาจเหนือเหลาไท่จุน จะไม่เขย่าขนไก่นี้ให้เป็นลูกศรได้หรือ ลดบารมีเหลาไท่จุนเพื่อระบายอารมณ์โกรธที่สั่งสมมานานหลายปี

เพียงแต่ การจัดการด้วยความมีกตัญญูรู้คุณธรรมเช่นนี้ จุดประสงค์จริงๆของฮ่องเต้คืออะไร? เพียงแค่เพื่อหาความผิดของทุกคนหรือ?

แต่ฮ่องเต้จะไม่รู้ได้อย่างไรว่า ความผิดเล็กๆน้อยๆพวกนี้บ้านไหนๆก็ต้องมีบ้าง หากเอามาพูดจริงๆ แล้วจะทำอย่างไรได้? เพราะปัญหาเรื่องภายในจวนแล้วลงโทษความผิดหนักอย่างนั้นได้หรือ?

แต่ว่า หลังจากที่เหลาไท่จุนพูดประโยคต่อไปนี้ หลีโม่ก็เข้าใจแล้ว

เหลาไท่จุนพูดว่า “ฮ่องเต้เห็นด้วยและพอใจกับการที่ฮองไทเฮาจัดการแบบนี้กับจวนขุนนางตระกูลใหญ่อย่างมาก ถึงขึ้นพูดว่าหากมีรายงานความผิด เมื่อถูกตรวจสอบว่าเป็นความจริงแล้วจะมีรางวัลให้”

เข้าใจความหมายของฮ่องเต้แล้ว หลีโม่ก็ค่อยเบาใจลงหน่อย

ในเมื่อมีรายงานความผิด งั้น ในทุกๆบ้านก็จะต้องมีคนจับตามองอยู่มากมาย

จวนเชื้อพระวงศ์พวกนั้นก็ดี ขุนนางผู้ใหญ่ก็ดี ใครที่ไม่มีศัตรู? ในเมื่อฮ่องเต้พูดเช่นนี้แล้ว หากใครอยากแก้แค้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือจับตาดูอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด พวกผู้ใหญ่จะไม่ทำผิดแน่ แต่ลูกหลานพวกนั้นก็ไม่แน่แล้ว

ฮ่องเต้ใช้วิธีนี้ เพื่อควบคุมจวนเชื้อพระวงศ์กับเหล่าขุนนาง

เพียงแต่ ให้เหลาไท่จุนต้องอับอาย เกรงว่าคงจะไม่ใช่ความตั้งใจของเขา

หลิ่วหลิ่วก็หน้าบึ้ง “กฎระเบียบข้าก็ไม่เคยเรียน ข้าต้องเข้าวังไหม?”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องไป ตอนนี้เจ้ายังไม่ได้รับแต่งตั้งตำแหน่งใดๆ” เหลาไท่จุนพูดอย่างอ่อนโยน

หลิ่วหลิ่วมองดูหลีโม่ “หลีโม่ ข้าว่าเจ้าก็ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องกฎในวังพวกนั้น เมื่อก่อนตอนที่เจ้าอยู่ในจวนเฉิงเสี้ยง เคยมีคนสอนเจ้าไหม?”

หลีโม่ถอนหายใจ “ข้าไม่เป็นที่รัก จะมีใครมาสอน?”

“งั้นเจ้าจะทำยังไง? เจ้าต้องเข้าวังไปถวายพระพรทุกวันจันทร์ พฤหัสบดี อาทิตย์ ต้องเรียนแล้วนะ” หลิ่วหลิ่วพูด

หลีโม่โบกมือ “ข้ากลับไปแล้วค่อยๆคิดดู”

เหลาไท่จุนพูดเคร่งขรึมว่า “หญิงเฒ่าพวกนั้น มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ มีความสามารถจริงก็มาสู้กับข้าตัวต่อตัวเลย”

หลีโม่หัวเราะ “ใช่ หากความแค้นที่มีสามารถแก้ไขลบล้างได้ด้วยการต่อสู้ คงจะดีไม่น้อย”

การสู้รบกันในวังหลัง การแย่งชิงกันในจวน ล้วนเป็นสงครามการฆ่าคนอย่างไร้ร่องรอย เซลล์สมองตายไปแล้วอย่างมากมาย บางครั้งยังต้องเอาชีวิตเข้าไปทิ้งด้วย สู้รบกันตั้งแต่แรกยังจะดีกว่า จะเป็นหรือตาย ล้วนอาศัยความสามารถของตัวเอง

พูดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว หลีโม่ก็ถามอีกว่า “ตอนนี้ร่างกายฮ่องเต้เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ดูแล้วก็กระชุ่มกระชวยขึ้นมาก ใบหน้าก็มีเลือดฝาดแล้ว เพียงแต่ซุนฟางเอ้อร์ยิ่งอยู่ยิ่งผ่ายผอม วันนั้นค่าเข้าวังไปถวายพระพร นางก็อยู่ นั่งอยู่ตรงริมสุดไม่พูดอะไรสักคำ มองดูแล้ว ขาวซีดเหมือนดังผี น่ากลัวมากเลย”

ช่วงนี้เพราะมีเรื่องโรคระบาด หลีโม่ค้นหาอ่านหนังสือเป็นจำนวนมาก หนึ่งในสมุดบันทึกของเวินยี่ ได้พูดถึงการใช้พิษหนอนรักษาโรค

แต่การใช้พิษหนอนรักษาโรค วิธีการนั้นโหดเหี้ยมร้ายกาจมาก

ต้องใช้เลือดของคนที่ควบคุมพิษหนองเลี้ยงดูพิษหนอน แล้วก็ปล่อยเข้าไปในตัวของผู้ป่วยเพื่อกลืนกินโรค

วิธีแบบนี้ ดูแล้วก็เหมือนส่งผลร้ายต่อคนที่เลี้ยงพิษหนอน แต่ที่จริงหากใช้ในระยะยาว สำหรับคนป่วยก็มีผลกระทบเหมือนกัน

เริ่มแรก พิษหนอนจะคายสิ่งที่มีประโยชน์ออกมาก่อน แล้วเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยผ่านสายเลือด ผู้ป่วยจะรู้สึกมีกำลังขึ้นอย่างมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปนาน ประโยชน์ของพิษหนอนก็จะหมดลง แล้วก็จะกลับมาดูดเอาเลือดในร่างกายของผู้ป่วยเพื่อเลี้ยงชีวิตของตัวเอง เพราะเลือดของคนที่เลี้ยงพิษหนอน เมื่อถึงเวลาหนึ่งแล้ว ก็จะไม่มีสิ่งมีประโยชน์ที่จะสามารถเลี้ยงพิษหนอนได้อีก

ในสมุดบันทึกของเวินยี่ บันทึกไว้ไม่มาก แต่คิดว่าซุนฟางเอ้อร์คงใช้วิธีนี้เพื่อรักษาฮ่องเต้

ตอนนี้ฮ่องเต้ดูเหมือนหายดีแล้ว แต่เพียงแค่ยังไม่ถึงเวลาที่พิษหนอนแว้งกัด

ตอนนี้หวนคิดถึงก่อนหน้านี้ที่ซุนฟางเอ้อร์เล่าถึงอาการป่วยของฮ่องเต้ สีหน้าแฝงไปด้วยความไม่ไยดี นางคงจะเข้าใจดี

เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะเข้าใจไหม?

หลังจากที่พอเข้าใจสถานการณ์ในเมืองหลวงอย่างคร่าวๆแล้ว หลีโม่ก็ขอตัวกลับแล้ว

ในเมืองหลวงยังคงรุ่งเรืองเหมือนเดิม ร้านค้าเรียงรายเต็มถนน แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรือง

เพียงแต่ หลีโม่กลับรู้สึกถึงเบื้องหลังของความเจริญรุ่งเรืองนี้ มักจะได้กลิ่นเหม็นๆ แม้แต่พระอาทิตย์ที่สองบนหัวก็ไม่สามารถพัดพาให้หายเหม็นได้

กลับมาถึงในจวน ประตูจวนเปิดออก คนเฝ้าประตูเห็นหลีโม่กลับมา ก็รีบไปตามคนในจวนออกมาช่วยขนสิ่งของ

ฮ่องเต้เป่ยม่อพระราชทานสิ่งของให้มากมาย ล้วนตามรถม้ากลับมา วุ่นวายกันอยู่สักพัก

ในจวนดูเหมือนทุกอย่างยังเหมือนเดิม แต่เมื่อหลีโม่มองเห็นหญิงชรากับสาวใช้พวกนั้น ก็รู้ทันทีว่าจวนอ๋องซื่อเจิ้งนี้ มีศัตรูเข้ามารุกรานแล้ว

หญิงชราสวมชุดสีฟ้าปักลายดอกเบญจมาศสีเข้มคนหนึ่ง เดินนำคนกลุ่มหนึ่งมา แล้วมาถวายความเคารพหลีโม่ “พวกบ่าวขอต้อนรับพระชายา"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม