พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 647

บทที่ 647 คิดบัญชีรายตัว

พระชายาอ๋องหลี่ชินไม่ยอมอีกต่อไป พูดขึ้นว่า “ฮองไทเฮา ถ้าหากว่าเป็นพวกหม่อมฉันก็พอดูอยู่แล้ว จิ่นไท่เฟยพระวรกายไม่แข็งแรง ให้นางเดินครึ่งชั่วยาม จะไม่ทรมานไปหน่อยหรือ?การเข้าวังมาถวายความเคารพ ทำไมถึงได้กลายเป็นการเก็บชีวิตของผู้คน?จะว่าไปแล้ว รถม้าของตำหนักหยันสี่ไปพุ่งชนอยู่ข้างนอก เดิมก็ต้องเป็นทาสรับใช้ของตำหนักหยันสี่ที่เป็นฝ่ายผิด ทำไมถึงได้มากล่าวโทษจิ่นไท่เฟยแล้วก็พวกหม่อมฉันเล่า?”

ฮองไทเฮาพูดขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด “เจ้าพูดว่าพวกเจ้าเข้าวังมาถวายความเคารพ แต่พวกเจ้าเข้ามาแล้วนี่เคยได้คุกเข่าถวายความเคารพแล้วหรือไม่?พอมาถึงก็เอาแต่พูดอธิบาย ถ้าไม่ได้เพราะว่าทำผิดแล้วกลัวคนจับได้ จะต้องอธิบายอะไรกัน?”

พระชายาอ๋องหลี่ชินเป็นคนที่ไม่ชอบข้า ได้ เจ้าออกมาเดินสักสองรอบ พวกเรามาลองกันดูสักตั้ง ว่าไม่ได้เป็นคนที่เก่งแต่ปาก ฟังนางพูดเช่นนี้แล้ว พลันก็ไม่มีข้อแก้ตัวอะไร สีหน้าแสดงความโกรธเคืองคั่งแค้น ทำได้เพียงแค่ถลึงตาโตเท่านั้น

“อ๋องหลี่ชินเสด็จ!”

ดูเหมือนว่ามักจะเป็นเช่นนี้ เมื่อใดก็ตามที่มีปัญหาที่แก้ไม่ตก ท่านอ๋องผู้นี้ก็มักจะเสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อมาโปรดแท้ ๆ

แล้วก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ กฎของอ๋องหลี่ชิน

เพราะว่าเป็นท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องเข้าวังมาถวายความเคารพ นี่เป็นกฎสำหรับสตรี สำหรับท่านอ๋องแล้วนั้นก็สามารถเข้าวังมาแสดงความเคารพได้ เพียงแค่ว่าไม่ได้มีกฎตายตัว

วันนี้บังเอิญว่าอ๋องหลี่ชินมีเรื่องที่ต้องเข้าวังมาเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาท ส่งให้จิ่นไท่เฟยมา เดิมทีเข้าไม่ได้คิดอยากจะมา แต่ถ้าหากว่าเขาไม่เข้ามา ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะว่า กฎมันเป็นเช่นนี้ ก็ในเมื่อมาแล้ว คนผู้นั้นมีสถานะเป็นฮองไทเฮา อย่างไรก็ต้องเข้ามาแสดงความเคารพ

แต่ว่า เมื่อตอนที่มาถึงปากประตู ก็ได้ยินคำพูดพวกนั้น เขาก็รู้สึกโมโหเลือดร้อนขึ้นในทันที แต่ก็รู้จักรักษาขนมธรรมเนียม ถึงได้เรียกให้คนบอกต่อแล้วถึงได้เข้ามา

เมื่อเข้ามายังตำหนักแล้ว เขาเองก็แสดงความเคารพไปตามระเบียบ จากนั้นก็ได้หยัดกายขึ้นแล้วพูดว่า “ฮองไทเฮา เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงเอะอะมาตั้งแต่ข้างนอก วันนี้จิ่นไท่เฟยถูกรถม้าชน ต่อให้ตกใจอยู่ก็ยังไม่ลืมที่จะเข้ามาเพื่อถวายความเคารพ พระองค์มีสถานะเป็นถึงฮองไทเฮา สิ่งที่พระองค์ต้องทำ อันดับแรกเลยคือการถามไถ่แสดงความห่วงใย จากนั้นก็ต้องฟังคำอธิบายของพวกนาง แล้วค่อยไต่สวนคนของตำหนักหยันสี่ที่ขี่ไปชน แต่ว่าพระองค์ไม่ได้ใส่ใจไต่ถามสาเหตุ ก็ให้ข้อหาว่าพวกนางไม่ให้ความเคารพยำเกรง จากที่ข้าดูแล้ว เป็นการปฏิปักษ์กับคนมากกว่า”

ฮองไทเฮาเลิกคิ้วขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ได้ยินมาว่าอ๋องหลี่ชินเป็นผู้ที่รู้จักมารยาทมาโดยตลอด มีความละเอียดรอบคอบ ทำไมวันนี้ถึงได้มาซักไซ้หาข้อผิดพลาดของข้าในตำหนัก นี่หรือคือความกตัญญูรู้คุณ?”

“ถ้าเช่นนั้นฮองไทเฮาก็ลองตรัสออกมา ว่าข้ากระทำอะไรที่ไม่เหมาะสม?มีตรงไหนบ้างที่ลืมมารยาท?”อ๋องหลี่ชินพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผล

ฮองไทเฮาก็จุกพูดไม่ออกในทันที เมื่อครู่ที่เขาเข้ามาในตำหนัก ก็ได้ถวายความเคารพไปแล้ว ไม่ได้เสียมารยาทจริง ๆ

นางพูดด้วยท่าทีราบเรียบว่า “ถ้าหากว่าเจ้ารู้จักมารยาท ก็คงจะไม่มาหักหน้าข้าต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้”

“มารยาท ก็ไม่ได้มากมายไปกว่าคำว่าเหตุผล ถ้าหากว่าเอาแต่ทำตามมารยาทโดยไม่พูดถึงเหตุผล ก็เหมือนกับสามีภรรยาที่ไหว้ฟ้าดินแต่ไม่ร่วมหอ ก็ไม่นับว่าเป็นสามีภรรยากัน ”

การเปรียบเทียบเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะฟังดูแสลงหู แต่ทว่า ก็เหมือนกับจะเป็นเช่นที่ว่านั้นจริง ๆ

เมื่อทุกคนได้ฟังคำพูดของอ๋องหลี่ชินไปแล้ว ก็รู้สึกว่าได้ปลดปล่อยความเคียดแค้นในใจลง

ฮองไทเฮารู้สึกอับอายจนคั่งแค้น “ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดว่า ข้าจำเป็นต้องยกโทษให้พวกนางที่มาช้า นับว่าเป็นการรู้จักเหตุผลแล้ว?”

“พวกนางมาสาย ก็ล้วนมีเหตุผล อีกทั้งอธิบายเหตุผลให้เป็นที่เข้าใจแล้ว มิหนำซ้ำการมาสายก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงคอขาดบาดตาย ทำไมถึงต้องใช้ถึงคำว่าขอโทษให้?คำพูดของฮองไทเฮาไร้ความเหมาะสม ไม่ได้รู้จักวิถีของการมีจิตใจที่กว้างขวาง ทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังยิ่งนัก”

มีสนมบางคนที่แอบหัวเราะออกมา สายตาอันแหลมคมของฮองไทเฮามองปราดไป พลันก็เงียบสงบไร้ซุ่มเสียง

“ยังมีอีก ”อ๋องหลี่ชินไม่ได้คิดจะวางมือลงง่าย ๆ “เมื่อครั้งก่อนได้ยินมาว่าเฉินไท่จูนถูกลงโทษให้คุกเข่า เมื่อข้าได้ยินเรื่องนี้นั้น ก็รู้สึกโกรธไม่หาย ถึงแม้ว่าเฉินไท่จูนเป็นสตรีในราชสำนัก เป็นข้าราชสำนักคนสำคัญในแคว้นต้าโจวของข้า หากไม่มีนาง จะมีอำนาจที่มั่นคงของพวกเราตระกูลซือถูในวันนี้ได้ที่ไหน?เฉินไท่จูนถือกำเนิดในกองทัพ เป็นคนนิสัยกล้าหาญตรงไปตรงมา แต่กลับใช้กฎของวังหลวงมาจำกัดนาง นางไม่ใช่คนในวังหลวง เดิมทีกฎเกณฑ์เช่นนี้นางหาจะต้องทำตามไม่ ฮองไทเฮาเองก็ดี เหลาไท่จุนพูดไปไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้วนั้น กลับให้โทษร้ายแรงที่ไม่แสดงความเคารพ ไม่ใส่ใจที่นางมีอายุเยอะลงโทษให้นางต้องไปคุกเข่า ข้าอยากจะถาม มีฮองไทเฮาของบ้านเมืองไหน ที่กระทำเยี่ยงนี้ต่อขุนศึกข้าในราชสำนัก?ถ้าหากว่าเรื่องนี้ได้เข้าพระกรรณของฝ่าบาท ต่อให้ฝ่าบาทไม่รับสั่งอะไรให้มันชัดเจนลงไป ตัวของข้าจะไม่อดทนต่อเรื่องความผิดแปลกประหลาดเช่นนี้โดยเด็ดขาด”

“เจ้า……”ฮองไทเฮาคั่งแค้นใจจนริมฝีปากสั่นระรัว นางลงโทษเฉินไท่จูน อันดับแรกเลยก็เพราะว่าเป็นความแค้นในเมื่อก่อน ข้อสองนั้นเพราะรู้ว่านางได้รับความเคารพยกย่อง จำต้องลงโทษนาง ถึงจะได้เขย่าขวัญของผู้คนได้

หลังจากที่จัดการต่อเฉินไท่จูนไปแล้ว ก็ทำให้เหล่าบรรดาสนมทั้งหลายค่อยเชื่อฟังในคำพูดมากขึ้น นางเองก็รู้สึกผยองกระหยิ่มในใจมาเป็นเวลานาน

เดินทีนางมีแผนในใจ ต่อให้เรื่องนี้เข้าพระกรรณของฝ่าบาท ตัวฮ่องเต้เองก็จะไม่มาสร้างความลำบากใจให้กับนางเพียงเพราะว่าเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว

คิดไม่ถึงเลยว่า ฝ่าบาทไม่เสด็จมา แต่ก็มีเด็กน้อยนี่มาแทน

อ๋องหลี่ชินชื่อพยางค์ว่าหลี่นั้น หลี่นั้นก็หมายถึงมารยาท หรือจะหมายถึงว่าเป็นเหตุเป็นผลก็ได้ นางรู้จักคนผู้นี้ดี นับตั้งแต่เล็กมาหลงไทเฮาให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังยกยอกับนิสัยเช่นนี้ของเขา

ในหัวของนางมีความคิดหลายอย่างหมุนวนขึ้นมา วันนี้เดิมทีตั้งใจว่าจะแสดงอำนาจต่อหน้าของพระชายาซื่อเจิ้ง คิดไม่ถึงเลยว่าคนพวกนี้ที่แต่ก่อนไม่เคยสร้างความลำบากใจให้กับนาง วันนี้จะมาเชือดเฉือนกันได้

นางเองก็ไม่กล้าจะถกเถียงกับอ๋องหลี่ชินอีกต่อไป เพราะว่าคนผู้นี้ยากที่จะรับมือด้วยยิ่งนัก

โชคดีที่ว่า นางกลับไปยังไปค่อนแคะข้อผิดพลาดของเสี้ยหลี่โม่ได้ จะได้ถือเป็นการเรียกคืนหน้าตาของนางกลับมา

เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ในเมื่อท่านอ๋องมาขอให้ยกโทษให้พวกเจ้า ครั้งนี้ก็ถือว่าแล้วกันไป”

เมื่อพูดจบ นางหันไปมองที่อ๋องหลี่ชิน “ท่านอ๋องเสด็จไปก่อนเถอะ”

เดิมทีอ๋องหลี่ชินคิดอยากจะถกเถียงอีกสักตั้ง แต่คิดว่าตัวเองมีเรื่องสำคัญที่ต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาท ก็ไม่อยากเสียเวลา ถึงยังไงต่อไปก็ยังมีโอกาสอีกมากมาย

แต่ว่า ก่อนไปเขาก็ได้พูดประโยคหนึ่งออกมา “นางกำนัลข้างพระวรกายของฮองไทเฮานั้น ถ้าหากว่าพูดกันตามสถานะปกติแล้ว ควรจะฟากหนึ่งมีสองคน บัดนี้ข้างหนึ่งมีสามคน อีกข้างมีสองคน นี่มันนอกเหนือความคาดหมายจนเกินไป เพราะว่าเป็นเช่นนี้ ข้าถึงรู้สึกไม่สบายใจนัก”

เมื่อพูดจบ ถึงได้ยืนกรานให้หัวหยงที่อยู่ด้านนอกตำหนักเข้าไปยืนอยู่ที่ฟากซ้าย เช่นนี้แล้ว ฟากหนึ่งมีสามคน กำลังพอเหมาะพอเจาะ ถึงได้จบเรื่องลง

เมื่อเห็นว่าอ๋องหลี่ชินผู้นี้ได้หยิบยกข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ขึ้นมา ก็ทำให้ฮองไทเฮาไม่กล้าที่จะสร้างความลำบากใจให้กับพระชายาอ๋องหลี่ชินต่อไป

สายตาของนาง ท้ายที่สุดก็หยุดลงบนใบหน้าของหลีโม่

ถึงแม้ว่าหลีโม่จะก้มหน้าอยู่ แต่ก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่แหลมคมและเยียบเย็น ได้ ในที่สุดก็มาถึงตาของตัวเองสักที

“พระชายาซื่อเจิ้ง วันนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้ามาพบข้า เดิมทีก็ต้องมาคุกเข่าทำความเคารพต่อข้า ต่อให้เจ้าไม่รู้ความ คนข้างกายเจ้าไม่เคยเตือนเลยหรือ?องค์หญิงเสด็จมาพร้อมกับเจ้า องค์หญิงจะต้องพูดเตือนเจ้าเรื่องนี้แน่ ๆ เพียงแต่เจ้ายังไม่เคยมาทำความเคารพต่อข้า อีกทั้งซุนไท่เฮาก็เพิ่งจากไปไม่นาน พระสนมทั่วทั้งวังหลวงก็ล้วนแต่งสีเรียบ ๆ มีเพียงแค่เจ้าที่ใส่ชุดสีแดงสด ไม่รู้จักกตัญญู สมควรจะได้รับโทษ”

หลีโม่ยิ้มน้อย ๆ นางเองก็พอจะทำการบ้านมาก่อน

“กราบทูลฮองไทเฮา ก่อนที่หม่อมฉันจะเข้าวัง ก็มีหยางมามาคอยตักเตือน ว่าต้องคุกเข่าแสดงความเคารพ ดังนั้น เมื่อครู่หม่อมฉันก็ได้ปฏิบัติเช่นเดียวกับเหนียงเหนียงอีกหลายท่าน คือคุกเข่าแสดงความเคารพ สำหรับการทำความเคารพแบบสูงสุดนั้น เพราะว่าเพียงแค่ทำความเคารพทั่วไป หม่อมฉันเองก็ไม่ใช่คนที่แต่งเข้ามาใหม่ หากทำความเคารพแบบสูงสุดนั้น ก็จะสูญเสียความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ อีกทั้งในตอนที่ข้าได้อภิเษกเข้ามาเป็นราชวงศ์นั้น ก็ได้ทำตามประเพณีที่บรรพบุรุษเป็นผู้กำหนดมา คือได้แสดงความเคารพแบบยิ่งใหญ่ต่อฮองไทเฮาไปแล้ว”

หรือจะพูดว่า เมื่อตอนที่ได้อภิเษกนั้น ก็ได้ทำความเคารพแบบสูงสุดต่อฮองไทเฮาผู้นั้นไปก่อนแล้ว สำหรับเจ้า คนที่ไม่ได้มาตามทำนองคลองธรรม ยังจะมาให้นางต้องทำความเคารพแบบสูงสุดอีกรึ?

ก็ให้อย่าเสียเวลากันมากนักจะได้ไหม?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม