พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 651

ตอนที่ 651 เข้าวังพบฮ่องเต้

เมื่อส่งพวกมามากลับไป หลีโม่ก็จัดชวนเซี่ยชิวตงวางในลาน แล้วก็เตรียมทำความสะอาด พร้อมกับสั่งห้ามไม่ให้พวกนางเข้ามารบกวน

เมื่อถึงตอนหลังจากที่กุ้ยไท่เฟยจากไป ก็ยังไม่เคยทำความสะอาดเลย ของเละเทะไปหมด

ครั้งนี้ฮองไทเฮา ทำให้หลีโม่จับจ้องมากขึ้น

หวังจุ้นก็หาพวกคนรับใช้ส่งเข้ามาช่วย

หลีโม่เลือกคนที่ฉลาดหน่อยมารับใช้ตนเอง แล้วให้ หยางมามาช่วยสั่งสอนการเข้ารับใช้ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระเย็นเอ๋อร์

ส่วนทางห้องบัญชี ก็ต้องตรวจสอบบัญชีกันใหม่ นอกจากคนรับใช้ของฮองไทเฮาแล้ว ก็ไล่คนอื่นออกไปจนหมด แล้วก็ให้หวังจุ้นเรียกผู้ดูแลห้องบัญชีมา ก่อนที่พวกนั้นจะเข้าห้องมา หลีโม่ก็สั่งให้หวังจุ้นตรวจสอบห้องบัญชี เอาสิ่งของทุกอย่างจดใส่บัญชีไว้

ตอนนี้ในจวนมีนางกับซือถูเย้นเป็นนายสองคน ถึงแม้จะไม่ต้องการคนรับใช้มากมาย แต่ถ้าจะทำความสะอาดทั้งจวนแบบนี้ ถ้าคนน้อยก็จะทำกันไม่ไหว

หลีโม่ถามไปยังจวนองค์หญิง ในจวนนั้นมีคนรับใช้ประมาณ80คน ส่วนจวนอ๋องหลี่ชินมีประมาณ60กว่าคน

ส่วนตอนที่กุ้ยไท่เฟยอยู่นั้น ในจวนมีคนรับใช้ตั้งร้อยกว่าคน

ตอนนี้ออกไปจำนวนมากแล้ว เรียกกลับมาใหม่ก็มีประมาณ70กว่าคน

หลีโม่จัดการให้ทุกคนไปประจำห้องต่างๆ ส่วนห้องของนางเหลือผู้หญิงไว้4คน ผู้ชาย2คน แล้วก็เย็นเอ๋อร์

ส่วนหยางมามา หลีโม่ให้นางจัดการเรื่องในจวนกับหวังจุ้น หวังจุ้นทำหน้าที่จัดซื้อและความปลอดภัย หยางมามาทำหน้าที่ดูแลเรื่องเล็กน้อยต่างๆ เพื่อให้นางสบายใจขึ้น ก็เลยเอาคนรับใช้ไปให้นาง2คน ตอนนี้ หยางมามาก็เหมือนเป็นเจ้านายครึ่งหนึ่งแล้ว

หยางมามาเป็นคนมุทะลุ รักษากฎระเบียบ นิสัยเดิมแทบไม่เหลือแล้ว ทั้งจวนถูกนางจัดการได้อย่างเรียบร้อย

ทุกตำแหน่งหน้าที่ถูกจัดระเบียบอย่างดี ไม่มีคนทำงานเยอะเกินไป และไม่เหนื่อยเกินไป

แต่ทางฝั่งห้องครัว นางจัดแจงไปทำ2คน ทั้งสองคนมีหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารบำรุงให้หลีโม่ นางคิดว่า หลีโม่ร่างกายอ่อนแอมาก และตอนที่ป่วยก็ถูกต้องกรอกยาหงฮัว ถ้าไม่ดูแลดีๆ จะมีลูกยากเอาได้

หลีโม่ก็ถามหวังจุ้น ชื่อของแต่ห้องนั้นไม่เคยเปลี่ยนเลยตั้งแต่ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้องค์ก่อน คิดว่าจะเปลี่ยนชื่อที่อื่นก็ไม่เหมาะ ก็เลยเปลี่ยนชื่อห้องที่ตัวเองพักว่า วังเหอสวี้

จัดการเรื่องพวกนี้ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน

ต่อมา นางให้หวังจุ้นไปพากุ้ยหยวนกลับมา

กุ้ยหยวนผอมลงมาก ดำขึ้นด้วย

“พระชายาท่านกลับมาแล้ว ดีมากเลย” กุ้ยหยวนพูดเสียงแหบ

หลีโม่พูดเบาๆ ว่า “กุ้ยหยวน ลำบากเจ้าแล้วนะ”

“ไม่ลำบากเลย ข้าเต็มใจทำงานให้พระชายา” กุ้ยหยวนพูดอย่างจริงใจ

หลีโม่พยักหน้า “เรื่องราวในเรือน เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อย”

นายบ่าวสองคนคุยกันอยู่ในห้องประมาณ1ชั่วยาม เอาเรื่องในเรือนกดขี่ชาวบ้านที่เช่าที่นา เล่าให้นางฟัง

ในใจหลีโม่ก็พอใจนัก

จะต้องเอาเงินพวกนั้นมาให้ได้ แล้วต้องสั่งกำชับลูกน้องด้วย จะได้ไม่ผิดพลาด เดี๋ยวจะซวยเสียเอง

ดังนั้น นางก็ไปหาหูฮวนซี ให้นางมาดูแลเรือนแทน

หูฮวนซีถนัดการบริหารดูแล คนที่ทำงานกับนางทำงานละเอียด เลือกนางถือว่าถูกต้องที่สุด

หลีโม่รีบจัดการเรื่องของตนเอง แล้วก็เข้าวังเฝ้าฮ่องเต้

กลับมาตั้งนาน ฮ่องเต้ก็ยังไม่เรียกนางเข้าเฝ้า นางเองก็ไม่ได้เข้าไปถวายพระพร เป็นสะใภ้ในราชวงศ์ ถ้าฮ่องเต้ไม่เรียกหา นางก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปถวายพระพร ไปถวายพระพรตามรับสั่งก็พอ

แต่ว่า ในฐานะที่เคยเป็นหมอรักษาให้กับฮ่องเต้นั้น นางก็ควรไปถวายพระพรเสียหน่อย

นางรออยู่ด้านนอกห้องทรงพระอักษรอยู่1ชั่วยาม ฮ่องเต้ก็เรียกนางเข้าไป

พอพบฮ่องเต้ ก็แค่อยากจะขอพระราชานุญาตเข้าพบมารดาและน้องชาย เพราะตอนนี้พวกเขายังอยู่ที่ตำหนักซีเวย นั่นเป็นห้องบรรทมของฮ่องเต้ คนนอกห้ามเข้า

นอกจาก ฮ่องเต้จะอนุญาต

ก่อนเข้าห้องทรงพระอักษร ลู่กงกงก็พูดเบาๆ ว่า “พระชายา คำถามที่ไม่ควรถาม ก็อย่าได้ถามนะ”

หลีโม่รู้ว่าเขาตั้งใจบอก คงกลัวว่านางจะถามเรื่องฮองไทเฮากับฮองเฮา นางเลยตอบว่า “ขอบคุณลู่กงกงที่ชี้แนะ”

อากาศช่วงเดือนสิงหาคม มันร้อนมาก แต่ห้องทรงพระอักษรกลับเย็นสบาย พอมองไปดีๆ ก็เห็นหลังม่านนั้นมีความเย็นทะลุออกมา น่าจะเป็นน้ำแข็งที่เอาออกมาจากห้องน้ำแข็งเพื่อลดอุณหภูมิ

ฮ่องเต้นั่งอยู่หลังโต๊ะพระอักษร ด้วยชุดมังกรสีเหลือง สีหน้าชุ่มชื่น พอหลีโม่มองไปก็รู้ว่าไม่ได้ใส่หน้ากากแล้ว เพราะเป็นสีของผิวหน้าท่านจริงๆ

ฮ่องเต้มองนางยิ้มๆ ถึงจะเคร่งขรึม แต่ก็ไม่เครียดเหมือนตอนที่มีความแค้น

บนโต๊ะมีหนังสือฎีกากองอยู่มากมายเป็นภูเขาเลากา วางรกวุ่นวายบนโต๊ะ แต่จัดหมวดหมู่เรียบร้อย มีขันทีน้อยคอยรับใช้ มีกระถางกำยานรูปดอกบัววางอยู่ ควันหอมลอยฟุ้งไปทั่ว

หลีโม่เลิกมอง แล้วรีบทำความเคารพ “หม่อมฉันเสี้ยหลีโม่ ถวายพระพรฝ่าบาท”

เสียงฮ่องเต้ส่งตอบกลับมานุ่มๆ ว่า “พระชายาลุกขึ้นเถิด”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” หลีโม่ลุกขึ้น

“เจ้ากลับมา ข้ายังไม่ว่างคุยกับเจ้าเลย คิดอยู่ว่าจะเรียกพบเจ้า แต่เจ้าก็เข้ามาก่อนเลย” เสียงฮ่องเต้นั้นนุ่มนวลน่าฟังมาก จนทำให้หลีโม่รู้สึกว่าคนคนที่นั่งตรงหน้าเป็นพี่ชายตนเอง

“ฝ่าบาทมีราชกิจมากมาย ทรงงานไม่ว่างเว้น วันนี้หม่อมฉันมารบกวน ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรมากมาย แค่อยากจะถามฝ่าบาทว่า ทรงแข็งแรงดีหรือไม่?”

ถ้าเป็นคนอื่นถามคำถามนี้ คงจะดูไม่เหมาะ แต่หลีโม่เคยเป็นหมอให้ฮ่องเต้ ก็ไม่มีอะไรไม่สมควร

ฮ่องเต้ตอบ “ข้าขอบใจพระชายามาก ในเมื่อเข้าวังมาแล้ว ก็มาจับชีพจรข้าดูหน่อยก็แล้วกัน ข้าก็เชื่อแต่พระชายานี่แหละ หมอหลวงในวังพวกนั้น ไม่ได้เรื่องสักคน”

“ฮ่องเต้กล่าวชมเกินไปแล้ว หม่อมฉันก็แค่มีความรู้เรื่องยาสมุนไพรบ้างเท่านั้น”

“พระชายาอย่าถ่อมตนเลย เข้ามา จับชีพจรข้าหน่อย” ฮ่องเต้กล่าว

หลีโม่ลุกเข้าไปด้านหน้า ขันทีน้อยเอาผ้ามารองบนโต๊ะ ฮ่องเต้เอามือยื่นมาให้นางจับชีพจร แล้วนางก็ตั้งจับ และตั้งใจฟัง

สักพัก หลีโม่ก็ยิ้ม “ยินดีกับฝ่าบาทด้วย ชีพจรของฝ่าบาทปกติทุกอย่าง ทรงหายดีแล้ว”

ฮ่องเต้ก็ยิ้ม “คงเป็นเพราะตัวยาที่เจ้าบอกคราวก่อน ข้าได้กินมันตลอด ไม่คิดว่าจะได้ผลดีเช่นนี้”

หลีโม่รู้ดี ไม่ใช่เพราะฤทธิ์ของยานาง อาการของฮ่องเต้มันถึงขั้นสุดท้ายแล้ว ถ้ากินยาของนาง ก็อาจจะทำให้อาการไม่ลุกลาม หรืออาจดีขึ้นบ้าง แต่จะให้หายเลยนั้นเป็นไปไม่ได้

“ฝ่าบาทมีพระบารมีสูงส่ง ฟ้าดินต้องปกป้อง ไม่ได้เป็นเพราะหม่อมฉัน”

ฮ่องเต้โบกปัด แล้วถามว่า “โรคระบาดที่แคว้นเป่ยม่อ รักษาดีแล้วใช่ไหม?”

“เรียนฝ่าบาท หม่อมฉันได้คิดหาตัวยามาควบคุมการระบาดได้แล้ว”

“พระชายาช่างเป็นพระโพธิสัตว์ของราษฎรจริงๆ แล้วยังเป็นแม่ทัพของข้าด้วย ซือถูเย้นแต่งกับเจ้า ช่างเป็นโชคของเขาจริงๆ”

ฮ่องเต้ชมไม่ขาดปากเช่นนี้ หลีโม่ฟังแล้วก็เลี่ยน

ถึงแม้นางจะก้มหน้าอยู่ แล้วก็ยังสัมผัสได้ว่าสายตาฮ่องเต้ที่มองมานั้นไม่ธรรมดา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม