บทที่867 หากข้าละทิ้ง – ตอนที่ต้องอ่านของ พิษรักองค์ชายโฉมงาม
ตอนนี้ของ พิษรักองค์ชายโฉมงาม โดย ใบไม้แดง ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายโรแมนซ์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่867 หากข้าละทิ้ง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
บทที่867 หากข้าละทิ้ง
หลายปีผ่านไป ทุกอย่างเหมือนจะสามัคคีปรองดอง
อย่างไรก็ตามเมื่ออาการป่วยของฮ่องเต้ค่อยๆดีขึ้น หลีโม่ก็รับรู้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไอ้เจ็ดไปหาองค์ชายเจ็ด แล้วยืนยันว่าฮ่องเต้มีรอยช้ำที่ศีรษะ เขาจึงมาบอกนาง จากนั้นเขาก็เข้าวังไปหาฮ่องเต้ หลีโม่รู้สึกว่าไอ้เจ็ด ต้องการเปิดฉากยิงหลังจากที่เงียบสงบมานาน
ซือถูเย้นตั้งใจสับหลีกกับเวลาที่หลีโม่เข้าวังเพื่อไปฝังเข็ม หลังจากที่หลีโม่ฝังเข็มแล้วออกจากวัง เขาค่อยไปที่ตำหนักซีเวย
ตอนนี้องครักษ์ของตำหนักซีเวยเข้มงวดขึ้นเล็กน้อย ในตอนที่ไท่ฮองไท่เฮาอยู่ ใครก็สามารถเข้าไปในตำหนักที่ฮ่องเต้ประทับอยู่ได้ แต่ทว่าไม่มีใครสนใจที่จะเข้าไป
เมื่ออาการของเขาดีขึ้น ลู่กงกงก็วิ่งเต้นเพื่อเขา แม้ว่าขุนนางชั้นใหญ่จะยังไม่เข้าวังเพื่อมาพบเขา แต่ซือถูเย้นก็ไม่มีวิธีที่จะปิดข่าวเรื่องอาการป่วยของเขาดีขึ้นแล้ว
ลู่กงกงอยู่นอกตำหนักมองดูซือถูเย้นที่มาถึงราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู
เขาคิดว่าซือถูเย้นมาเพราะเรื่องที่เขาเข้าออกวังเป็นประจำ
“ท่านอ๋อง ท่าน......วันนี้เหตุใดท่านจึงมาที่นี่?” ลู่กงกงพูดตะกุกตะกัก
ซือถูเย้นยิ้มให้เขา “ข้ามาเยี่ยมฮ่องเต้”
ลู่กงกงตกตะลึง รอยยิ้มนี้...... ช่างประหลาด เหตุใดท่านอ๋องจึงยิ้มให้เขา?
ซือถูเย้นไม่เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น ยังยื่นมือออกไปแล้วพูดว่า “ข้าไม่เคยขอบคุณลู่กงกงอย่างเป็นทางการ ขอบคุณกงกงสำหรับความช่วยเหลือในอดีต ข้าจะไม่มีวันลืม หากมีโอกาสข้าจะตอบแทนอย่างแน่นอน”
ลู่กงกงหน้าซีดเผือด เวลาที่อ๋องซื่อเจิ้งโกรธยังไม่น่ากลัวถึงเพียงนี้ แต่นี่เขาทั้งยิ้ม ทั้งทำความเคารพ มันทำให้รู้สึกกลัวจนขนลุกขนพอง
เขายิ้มอย่างไม่เต็มใจ “ท่านอ๋อง ก็พูดเกินไป ทาสยังไม่เคยช่วยอะไรท่าเลย”
เมื่อพูดเสร็จเขาก็มองเข้าไปในตำหนักโดยไม่รู้ตัว เพราะกลัวว่าจะมีใครได้ยินสิ่งที่ซือถูเย้นพูด
ซือถูเย้นก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจเท่าใดนัก เพียงแค่ถามไปว่า “ช่วงนี้ฮ่องเต้ดีขึ้นแล้วรึ?”
“เอ่อ..... สถานการณ์ไม่ถือว่าดีนัก แต่ก็ดีกว่าเดิมเล็กน้อย สรุปได้ว่า ยังคงค่อนข้างรุนแรง”
เมื่อลู่กงกงพูดเช่นนั้น เขากลับรู้สึกว่าเขายุ่งไม่เข้าเรื่อง อาการป่วยของฮ่องเต้คนที่รู้ดีที่สุดก็คือ พระชายาและ ท่านอ๋อง พวกเขาจะไม่รู้อาการป่วยของฮ่องเต้ได้อย่างไร?
ยิ่งต้องการปิดบังความจริง ยิ่งทำให้เขาสงสัย
“เข้าไปแจ้งให้เขาทราบว่าข้าต้องการพบเขา” ซือถูเย้นพูดด้วยความเย็นชา
ลู่กงกงแปลกใจ เมื่อก่อนยามที่เขามาพบฮ่องเต้ เขาก็เข้าไปเลย จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบที่ไหนกัน?
วันนี้เกรงใจแบบนี้ หรือว่า......
ลู่กงกงหน้าซีดเผือด พลางขอร้องด้วยเสียงเบา “ท่านอ๋อง ท่านกับฮ่องเต้คือพี่น้องกัน ได้โปรดท่าน......”
ซือถูเย้นพูดขัดจังหวะเขา “ลู่กงกง เข้าไปแจ้งให้เขาทราบเถิด”
ลู่กงกงไม่ยอมเข้าไป แต่กลับคุกเข่าลง
ซือถูเย้นรู้ว่าเขามีท่าทีเช่นนี้เพราะเหตุใด
มีสองเหตุผล ทั้งเรื่องที่ช่วงนี้เขาเข้าออกวังบ่อยๆ และยังติดต่อกับขุนนางชั้นใหญ่เพื่อโค่นล้มเขา
และเขาก็ยอมรับว่าเขาเป็นภัยต่อฮ่องเต้
ซือถูเย้นยื่นมือออกมาแล้วจับมือเขา พลางพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “หากข้าเป็นคนที่สังหารพี่สังหารน้องจริงๆ เปากงกงคงไม่ช่วยข้าหรอก”
ฮ่องเต้มีท่าทางโกรธ “ท่านอ๋อง ทำตัวเป็นคนดี งั้นข้าเป็นคนเลวงั้นรึ?”
“การบรหารราชการแผ่นดินที่ให้ประโยชน์แก่ประชาชนจะเป็นคนเลวได้อย่างไร?” ซือถูเย้นพูดอย่างใจเย็น “เงิน30เหวินเฉียนไม่ใช่ภาระใหญ่สำหรับประชาชน เพียงแต่เป็นเงินสำหรับซื้อซาลาเปา10ลูกก็เท่านั้น”
“เงิน30เหวินเฉียนนี่ยังไม่สามารถเติมเต็มค่าใช้จ่ายของยาและกรมฮุ่ยหมินได้เลย ราชสำนักยังต้องจัดสรรเงินอีกมาก เงินเหล่านั้นจะหามาจากที่ใด?”
“ฮ่องเต้ คลังมีรายได้จำนวนมากจากการเก็บภาษีทุกปี หม่อมฉันคิดว่าการรักษาเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ส่วนเรื่องงานก่อสร้างจะดำเนินการช้าหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ”
เขากำลังพูดถึงการก่อสร้างพระราชวังอื่นๆและจัดหาทหารเพื่อซื้ออาวุธ
เขาเคยเห็นภาพวาดและวัสดุในการสร้างพระราชวัง ซึ่งใช้เวลาราว3-4ปี และมีค่าใช้จ่ายประมาณ9ล้าน
เงินของวังอื่นๆยังคงมีจำนวนจำกัด ทว่าการขยายกำลังคนและซื้ออาวุธ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากทุกปี
ฮ่องเต้หน้าดำคร่ำเครียดอย่างเห็นได้ชัด “อ๋องซื่อเจิ้ง เจ้ากำลังวางยาแนวหลังของกองทัพข้า”
“ฮ่องเต้เฉลียวฉลาด ควรจะรู้ว่านั้นไม่ใช่แนวหลังของกองทัพ และเมื่อก่อนฮ่องเต้เคยพูดไว้ว่า มันเป็นการสิ้นเปลืองทั้งทรัพยากรและกำลังคน หากสามารถที่จะเลี่ยงได้ ก็จะไม่ทำ ไม่รู้จริงๆว่าฮ่องเต้เปลี่ยนไปหรือโลกกันแน่ที่เปลี่ยน”
โลกคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตัวเอง สิ่งที่เปลี่ยนคงจะเป็นเขา
“กิจกรรมของวังอื่นๆสามารถหยุดได้ ทว่าการพัฒนาประเทศและการส่งเสริมการทหาร อ๋องซื่อเจิ้งก็คงจะรู้ว่ากองทัพที่แข็งแกร่งมีความสำคัญต่อประเทศมากเพียงใด เพราะชาติกำเนิดเจ้าก็คือทหาร”
“กองทัพแคว้นต้าโจวของข้าแข็งแกร่งมากพอแล้ว สิ่งที่ฮ่องเต้ควรพัฒนาในตอนนี้ก็คือความสามารถของนายพลให้มีมากขึ้น แทนที่จะคาดหวังกับคนแก่และคนที่สงสัยอีกทั้งอิจฉาฮ่องเต้ หากต้องการที่จะใช้ จงใช้อย่างไว้วางใจ หากไม่สามารถไว้วางใจได้ ก็ควรจะเปลี่ยน”
ฮ่องเต้ดวงตาเป็นประกาย “ข้าไม่เข้าใจว่าอ๋องซื่อเจิ้งหมายถึงอะไร”
“ฮ่องเต้เข้าใจ คนพวกนั้น รวมทั้งขุนนาง รวมทั้วตระกูลเซียว อย่างน้อยที่สุดก็เซียวเซียว”
ฮ่องเต้หัวเราะเยาะ “อ๋องซื่อเจิ้งอาจจะต้องพูดให้ชัดเจนกว่านี้ ตอนนี้อำนาจในการบริหารบ้านเมืองเกือบจะอยู่ในมือของเจ้าแล้ว ข้าบอกว่าไม่ต้องก็คือไม่ต้องงั้นรึ? ส่วนเซียวเซียวเขาคือแม่ทัพใหญ่ของต้าโจว ผู้ใต้บังคับบัญชาคนเก่าแทรกซึมเข้าไปในกองกำลังทหารเท่าไหร่? อธิบายด้วยร้อยคำตอบก็ไม่พอ ตอนนี้ก็แต่งงานกับองค์หญิงใหญ่แล้ว หากข้าละทิ้ง แล้วองค์หญิงพูดถึงข้าข้างนอก ชื่อเสียงของข้าคงไม่เพียงพอต่อความพ่ายแพ้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม
จบแบล้วววววว...
900 ตอนแล้ว ชีวิตของหลีโม่แทบหาความสุขไม่เจอเลย แถมลูกก็ถูกคนอื่นเอาไปทิ้งอีก สงสารจับใจ...
ตะว่าไปเรื่องนี้หมุยเฟยกับฮ่องเต้เลวร้ายแบบกินกันไม่ลงนะ ทำร้ายทุกคนที่ดีกับตัวเอง แล้วแางว่าจำเป็นๆ กลับเป็นพวกอี๋เฟยซะอีกที่แย่งแยกพวกำองชัดเจนไปเลย หมุยเฟยนี่นับว่าเป็นคนที่ได้ดีจากการเนรคุณผู้คนรอบข้างโดยแท้...
ฮ่องเต้กับลู่กงกงนี่ ตอนตายคงมีกันแค่ 2 คนละนะ...
อี๋เฟยนี่คือนางฉลาดสุดละในบรรดาเมียของเต้...
ท่านซือถูเย่นใจเย็นๆจากสุราก่อนเจ้าค่ะ สนใจยัยน้องด่วนเด่วจะโดนมิใช่น้อย55555...
โธ่ๆท่านซือถูเย่น เค้าลางกลัวว่าที่ภรรยาในอนาคตมาแต่ไกล รีบซ่อนสุราเลยนะ แต่ไม่น่าจะทัน หลอกใครก็หลอกได้แต่ไม่ใช่กับแม่นางหลีโม่555555...