จิ้งอ๋องรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าช่างคุ้นตายิ่งนัก ราวกับย้อนกลับไปเมื่อสิบสี่ปีก่อน ครั้งหนึ่งก็เคยมีหมอหลวงหนุ่มผู้ไม่หวั่นเกรงอำนาจบาตรใหญ่ ยืนขวางหน้าเขาเช่นนี้ เอ่ยคำตำหนิอย่างองอาจต่อบุตรหลานตระกูลขุนนางที่เหิมเกริมจนไม่เกรงฟ้าดิน
เจ๋อหยางมองบุรุษเบื้องหน้าด้วยโทสะ พวกบ่าวไพร่ที่ใดช่างอวดดีนัก กล้าถึงเพียงนี้ ถึงกับมายืนขวางกั้นระหว่างเขากับเจ้านาย
เพิ่งจะยกมือเตรียมตบให้กระเด็นไปไกล แต่พลันได้ยินเสียงรับสั่งของอ๋อง “เจ๋อหยาง”
“ข้าน้อยมาช้าไป ไม่อาจปกป้องนายท่านได้ ขอทรงลงโทษข้าน้อยด้วยขอรับ” องครักษ์เจ๋อหยางกล่าวพลางคุกเข่าข้างหนึ่ง ประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม
“รู้จักกันรึ?” เฮ้อ ดีจริง! สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นพวกเดียวกับนักฆ่าที่บุกเข้ามาก่อนหน้านี้
สวี่ชิงถอนหายใจโล่งอกโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น ก่อนจะลอบเก็บสเปรย์ยาสลบในมือกลับไป เอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “มาถูกจังหวะพอดี นายท่านของเจ้าได้รับบาดเจ็บ ตรงนั้นมีเรือนเล็ก ข้ามียาอยู่ พยุงเขาไปเถอะ ข้าจะทำแผลให้ก่อน เลือดต้องหยุดไหลเสียก่อน”
เลือดในร่างกายมนุษย์มีจำกัด หากปล่อยให้ไหลเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอาจไม่รอด
คนผู้นี้มาถึงได้ถูกเวลานัก นางเพิ่งฟื้นตัว ร่างกายยังอ่อนแอ แถมบุรุษร่างสูงเช่นนี้ นางย่อมไม่อาจพยุงไหว
เจ๋อหยางปรายตามองตวนมู่สวี่ชิงด้วยสายตาราวกับมองคนโง่ ในที่สุดก็นึกออกว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้คือบ่าวรับใช้จากตระกูลตวนมู่ที่นายท่านช่วยชีวิตไว้วันนี้ ไร้ซึ่งกิริยาและมารยาทโดยสิ้นเชิง เขาจึงไม่คิดจะเสียเวลาสนใจแม้แต่น้อย
เขาก้าวไปประคองจิ้งอ๋องขึ้นมา “นายท่าน พวกเรากลับไปยังเรือนอวิ๋นไห่เถิด” แล้วให้หมอหลวงมาจัดการบาดแผล
จิ้งอ๋องกลืนยาที่ตวนมู่สวี่ชิงให้ลงคอ เพียงชั่วครู่ อาการคลุ้มคลั่งของพลังเลือดลมภายในก็เริ่มบรรเทาลงไม่น้อย จึงกล่าวอย่างเรียบเฉย "ฟังเขาเถอะ"
เจ๋อหยางอึ้งไปชั่วขณะก่อนขานรับ “ขอรับ!”
ระหว่างเดินไปยังเรือนเล็ก ตวนมู่สวี่ชิงเอ่ยถามอีกครั้ง “คุณชาย บอกข้าได้หรือไม่ว่าสถานที่นี้คือที่ใด?”
ดูจากอายุของอีกฝ่าย นางก็เลิกเรียกเขาว่า 'จอมยุทธ์' ในยุคโบราณ การเรียกขานชายหนุ่มมักใช้คำว่า 'คุณชาย' ครานี้คงไม่ผิดแล้วแน่
เจ๋อหยางขมวดคิ้ว ตั้งท่าจะเอ่ยตำหนิ ทว่ากลับถูกสายตาของจิ้งอ๋องสั่งห้ามเสียก่อน
จากนั้นก็ได้ยินเสียงนายท่านของเขาตอบกลับไปว่า “จวนจิ้งอ๋อง ตระกูลตวนมู่ถูกจับกุมระหว่างทาง เวลานั้นข้าผ่านไปพบเข้า บิดาเจ้าจึงตัดสินใจส่งเจ้ามาเป็นบ่าวของข้า”
ตวนมู่สวี่ชิงชะงักไปชั่วขณะ เท้าพลันสะดุดจนเกือบล้ม นี่มัน ข้อมูลมหาศาลเกินไป บิดาไร้ประโยชน์ผู้นั้น ทำเช่นนี้เพื่อรักษาชีวิตของนางเอาไว้อย่างนั้นหรือ?
หัวใจปั่นป่วนคล้ายมีรสขมปร่าแทรกซึมอยู่ภายใน
แต่ไม่นานนัก นางก็เรียกสติกลับมา ก่อนจะก้าวเดินต่อไปเงียบๆ ตลอดทาง นางไม่ได้เอ่ยวาจาอีกเลย
เมื่อมาถึงเรือนเล็ก เจ๋อหยางจุดเทียนขึ้น สักพักก็ได้ยินเสียงตวนมู่สวี่ชิงกล่าวกับเขาว่า “พี่ชาย รบกวนไปหาเศษผ้าสำหรับพันแผลมาให้ข้าหน่อยเถอะ ที่นี่ข้ามีเพียงผงยา แต่ไม่มีผ้าพันแผล”
ที่จริงแล้ว นางมีของพวกนั้นครบทุกอย่าง เพียงแต่ไม่อยากหยิบออกมาเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่นางต้องการก็คือเร่งรักษาบาดแผลให้เสร็จโดยเร็ว แล้วส่งพวกเขาออกไป นางอยากได้เวลาสงบจิตใจ เพื่อเรียบเรียงความคิดที่พันกันยุ่งเหยิงราวกับด้ายยุ่ง
เจ๋อหยางเหลือบตามองจิ้งอ๋อง เห็นนายท่านพยักหน้าอนุญาตจึงหมุนตัวออกไป
เมื่อเสื้อผ้าที่เปรอะเลือดถูกถอดออก เผยให้เห็นบาดแผลลึกเหวอะหวะทอดยาวแทบจะตลอดแนวแผ่นหลัง ตวนมู่สวี่ชิงถึงกับสูดหายใจเย็นเฉียบเข้าไป
นอกจากบาดแผลสดแล้ว บนแผ่นหลังยังมีร่องรอยแผลเป็นที่สมานตัวไปแล้วมากมาย ในใจของสวี่ชิงอดยกย่องบุรุษผู้นี้ไม่ได้ นับว่าเป็นชายชาตินักรบโดยแท้
แต่ตอนนี้นางมีเรื่องให้ครุ่นคิดมากมาย อีกทั้งเมื่อครู่เขาก็ตอบคำถามของนางด้วยน้ำเสียงราวกับพูดถึงบุคคลที่สาม ทำให้นางเผลอคิดไปเองว่าบุรุษผู้นี้คงเป็นแม่ทัพใต้บัญชาของจิ้งอ๋อง
เพราะเขานั่งหันหลังให้ นางจึงลงมือได้ง่ายขึ้น “ตอนทายาอาจจะเจ็บเล็กน้อย ท่านอดทนหน่อย” ตวนมู่สวี่ชิงกล่าวกับแม่ทัพหนุ่ม
สำลี ปากคีบ และน้ำยาฆ่าเชื้อถูกหยิบออกมาจัดเตรียมเรียงกันอย่างเป็นลำดับ
จิ้งอ๋องรู้สึกได้ถึงความแสบจี๊ดของบาดแผล น่าแปลกนัก เขากลับยอมเปิดแผ่นหลังให้เด็กรับใช้หนุ่มน้อยที่เพิ่งรับเข้ามาทำการรักษาโดยไม่ลังเลเช่นนี้ได้อย่างไร?
หรือบางที เป็นเพราะเขาคือบุตรชายของคนผู้นั้นกระมัง!
ตวนมู่สวี่ชิงมองดูบาดแผลที่โรยผงยาเรียบร้อย ก่อนจะหันไปมองแต้มสะสมในระบบที่พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ขบฟันแน่น ตัดใจแลก พลาสเตอร์ยาที่แพงที่สุดมาถึงหกแผ่น!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตา ล่าหัวใจแม่ทัพ