พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 132

เมื่อเอ่ยถึงขาของบุตรชาย หวงกุ้ยเฟยที่ยังคงงุนงงอยู่เมื่อครู่ก็ได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว

“ในเมื่อเจ้าเก่งวิชาแพทย์ การรักษาขาให้อวี้จือก็เป็นหน้าที่ของเจ้า เจ้ายังกล้าบ่นตัดพ้อเรื่องนี้ หรือว่าคิดจะข่มขู่ข้า”

ในที่สุดอวิ๋นหลิงก็เข้าใจว่าวงจรความคิดของหวงกุ้ยเฟยนั้นแตกต่างจากของคนอื่นๆ นางอยู่ในตำแหน่งสูงมานาน รู้สึกว่าผู้อื่นต้องมาประจบเอาใจนาง และทำสิ่งต่างๆ เพื่อนางล้วนเป็นเรื่องที่สมควร

เหมือนกับการรักษาขาของเยียนอ๋อง ถึงแม้หวงกุ้ยเฟยจะให้รางวัลแก่นาง แต่กลับคิดว่านั่นคือสิ่งที่นางควรทำ

“เจ้าบังอาจปากกล้าอวดเก่งต่อหน้าข้า เพราะอาศัยว่าเป็นคนโปรดของพระเจ้าหลวง ทว่าการรักษาขาของอวี้จือนั้นเป็นพระบัญชาของฝ่าบาท หากเจ้าละเลยแม้เพียงเล็กน้อย ข้าก็มีสิทธิ์ลงโทษเจ้า!”

สิ้นคำ นางก็ออกแรงดึงมือที่เซียวปี้เฉิงจับตนไว้ออก แล้วมองเขาด้วยแววตารังเกียจเดียดฉันท์

สีหน้าของเซียวปี้เฉิงเคร่งขรึม “เสด็จพ่อเป็นผู้ออกพระบัญชาก็จริง แต่แม้กระทั่งเสด็จพ่อก็ตรัสเพียงว่าทำให้ดีที่สุด ไม่เคยเอ่ยถึงบทลงโทษใดๆ เสด็จแม่หมายจะก้าวก่ายเสด็จพ่อเพื่อมาลงโทษอะไรอวิ๋นหลิง”

ทันใดนั้นหวงกุ้ยเฟยก็ได้สติคืนมา ตระหนักว่าตนพูดเลยเถิดเกินไปเสียแล้ว จักรพรรดิจาวเหรินทรงชิงชังพฤติกรรมพรรค์นี้ของบรรดาสนมทั้งหลายมากที่สุด แต่นางก็ยังประหลาดใจและโมโหที่เซียวปี้เฉิงพูดแก้ต่างให้อีกฝ่าย

“เจ้ากำลังจับผิดข้าอยู่หรือเปล่า”

น้ำเสียงของเซียวปี้เฉิงราบเรียบ “ลูกมิกล้า ลูกเพียงเตือนเสด็จแม่ ว่าในจวนจิ้งอ๋องคนมากปากมาก ใครที่ได้ยินเข้าอาจเอาถ้อยคำนี้ไปเพ็ดทูลต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อ เมื่อถึงเวลานั้นเสด็จแม่ก็ยากจะยุติเรื่องนี้แล้ว”

ถ้าบอกว่าเมื่อครู่เป็นการจับผิดหวงกุ้ยเฟย เช่นนั้นคำพูดประโยคนี้ถือเป็นคำขู่อย่างชัดเจน

หน้าผากของหวงกุ้ยเฟยเริ่มร้อนเล็กน้อยด้วยความกรุ่นโกรธ เมื่อเทียบกับการไม่เคารพของอวิ๋นหลิง การต่อต้านของเซียวปี้เฉิงยิ่งทำให้นางโกรธขึ้งมากกว่าเดิม

ในใจนางค่อนข้างกระวนกระวาย กลัวว่าหมากที่นางเคยจัดการวางตามอำเภอใจในมือเม็ดนี้ จะเป็นภัยต่อบุตรชายสุดที่รักของนาง หากมันเกิดตระหนักรู้และมีความทะเยอทะยานในตัวเองขึ้นมา

“เจ้าปีกกล้าขาแข็งนักหรือ จึงกล้าขู่ขวัญข้าเช่นนี้ ที่เจ้าพูดเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร ที่บอกว่าทำให้ดีที่สุดคืออะไร ดวงตาเจ้าหายมานานแล้ว แต่อวี้จือยังยืนขึ้นไม่ได้เลย เจ้าเริ่มมีใจแตกแยกมาตั้งนานแล้ว ไม่ต้องการให้อวี้จือดีขึ้นเลยใช่หรือไม่!”

หวงกุ้ยเฟยเพิ่งกล่าวจบ ก็ตระหนักว่าคำพูดของตนไม่เหมาะ แต่วาจาที่กล่าวออกไปนั้นไม่อาจย้อนกลับมาได้แล้ว

สีหน้าเซียวปี้เฉิงพลันแปรเปลี่ยน สายตาจับจ้องไปยังสตรีที่เคยดูแลและให้ความอ่อนโยนแก่เขาเมื่อสมัยยังเด็กผู้นี้แน่วนิ่ง สุดท้ายแสงวาวโรจน์ในดวงตาก็อันตรธานหายไปในที่สุด

อวิ๋นหลิงมองอยู่ในสายตาอย่างสงบ ก็รู้ว่าที่เซียวปี้เฉิงเชื่อฟังนางไม่เพียงเพราะความเผด็จการของหวงกุ้ยเฟยเท่านั้น

ในใจส่วนลึกของเจ้าบอดนั้นมีความรู้สึกบางอย่างกับสตรีผู้นี้

บรรยากาศค่อนข้างเยียบเย็น อวิ๋นหลิงไม่ได้ผลีผลามเอ่ยปาก

ครู่ต่อมา น้ำเสียงของเซียวปี้เฉิงยังคงแสดงความเคารพ แต่ไร้อารมณ์ใดๆ

“ไม่ว่าเสด็จแม่จะไม่ชอบลูกเพียงใด ก็ไม่ควรคาดเดาเช่นนี้ หากลูกมีใจแตกแยก เมื่อสองปีที่แล้วอวี้จือคงไม่ได้กลับมา”

หวงกุ้ยเฟยหน้าเผือดสีเล็กน้อย ริมฝีปากขยับ

นางรู้อยู่เสมอว่า เซียวปี้เฉิงตาบอดเพื่อช่วยเยียนอ๋อง ทั้งที่ตอนนั้นเขาทิ้งเยียนอ๋อง แล้วหนีเอาตัวรอดไปตามลำพังก็ได้

ในช่วงสองปีนี้ นางกล่าวโทษเซียวปี้เฉิงอย่างเปิดเผย แต่นั่นเป็นเพียงการจงใจเท่านั้น เพื่อใช้เรื่องนี้มาผูกมัดควบคุมตัวเขาในทางคุณธรรม

เซียวปี้เฉิงเป็นคนขรึมพูดน้อย แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือมิตรภาพ นางรู้ว่าขอเพียงทุกครั้งเอ่ยถึงเยียนอ๋อง เขาจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า นางหวังจะให้เซียวปี้เฉิงเอาใจออกหากจากตนโดยสิ้นเชิง

“ที่ข้าเพิ่งพูดไปด้วยความโกรธเมื่อครู่ เจ้าอย่าถือสาเอามาใส่ใจ” น้ำเสียงของหวงกุ้ยเฟยอ่อนลงอย่างหาได้ยากยิ่ง “อีกอย่างข้าไม่ใช่ไม่ชอบเจ้า เพียงแต่ก่อนหน้านี้เป็นห่วงอวี้จือมากเกินไปจึงพาลมาระบายอารมณ์โกรธกับเจ้า พักนี้ข้าก็รู้ว่าไม่ควรก่นด่าเจ้ารุนแรงเกินไปนัก”

อวิ๋นหลิงเลิกคิ้ว ไม่นึกว่าจะมีช่วงเวลาที่หวงกุ้ยเฟยจะเรียกตัวเองว่า “ข้า” โดยไม่วางท่า ช่างเป็นเรื่องแปลกโดยแท้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ