พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 190

ภายในท้องพระโรง โต๊ะงานเลี้ยงยาวสุดลูกหูลูกตาประหนึ่งมังกร

วันนี้ขุนนางระดับขั้นสองขึ้นไป สามารถพาครอบครัวมาร่วมงานได้สองคน พระสนมระดับเฟยของวังหลังสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงพร้อมจักรพรรดิจ้าวเหรินได้

โต๊ะที่อยู่ใกล้ด้านหน้าสุดคือที่นั่งของเชื้อพระวงศ์และราชนิกุล นั่งตามลำดับบรรดาศักดิ์ รวมทั้งสิ้นน่าจะมีแขกหนึ่งร้อยกว่าคน

หากได้นั่งไกลหน่อย คงมองเห็นใบหน้าจักรพรรดิจ้าวเหรินไม่ชัด ทั้งยังไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูดด้วย

ขุนนางจำนวนมากพาบุตรชายบุตรสาวของภรรยาเอกมาร่วมด้วย จะได้มีโอกาสแสดงโชว์ เปิดเผยรูปลักษณ์และความสามารถออกมา เผื่อว่าอาจมีโอกาสได้คู่ครองที่ดี

ตั้งแต่ที่อวิ๋นหลิงเดินทอดน่องเข้ามา ก็มีสายตาสงสัย สายตาหยั่งเชิงฉายมายังนาง

คนทั้งเมืองหลวงรู้ว่าพระชายาจิ้งอ๋องไม่ได้อัปลักษณ์แล้ว ทว่าผู้ที่เคยยลโฉมความงามของนางนั้นมีน้อยมาก

เสี้ยววินาทีที่เห็นอวิ๋นหลิง เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ก็เบาๆเยอะ

“นังหนูอวิ๋น รีบมานั่งสิ”

พระเจ้าหลวงอับไทเฮานั่งตำแหน่งรอง เขาโบกมือเรียกอวิ๋นหลิงด้วยความดีใจไม่หยุด

อวิ๋นหลิงกวาดสายตามองรอบๆก็เห็นโอรสกับพระชายามากันหมดแล้ว ตามกฎแล้วต้องนั่งตามอายุ นางกับเซียวปี้เฉิงจึงได้นั่งข้างพระชายาเสียน

เมื่อแขกมากันครบ นางกำนัลก็เริ่มถวายอาหารอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นระเบียบเรียบร้อย

ไม่นานบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารเลิศรสกับผลไม้สดๆ จักรพรรดิจ้าวเหรินยิ้มกล่าวคำสิริมงคลไม่กี่ประโยค งานเลี้ยงก็ถือเป็นอันเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

บรรยากาศผ่อนคลาย มีเพียงรุ่ยอ๋องที่นั่งข้างกายหรงฉานทำหน้าเศร้า ใบหน้าไม่มีรอยยิ้มสักนิด ไม่เข้ากับบรรยากาศเฉลิมฉลองเลย

อวิ๋นหลิงกดเสียงพูดเบาๆ “เสด็จพ่อไม่อนุญาตให้ฮองเฮาเฟิงเข้าร่วมหรือ?”

เซียวปี้เฉิงตอบเสียงเบา “ตามกฎแล้ว ถึงนางจะเข้าไปสำนึกผิดในศาลบรรพชน แต่จะได้เข้าร่วมเทศกาลไหว้พระจันทร์หรือตอนตรุษจีน แต่นางเพิ่งเข้าไปไม่กี่วัน เสด็จพ่อคงไม่อยากทำให้เสด็จปู่เสียพระทัยกระมัง”

เพราะพระเจ้าหลวงอยากปลดตำแหน่งฮองเฮาออก จักรพรรดิจ้าวเหรินรักษาตำแหน่งอย่างหน้าด้านไว้แล้ว ย่อมทำตามใจโดยปล่อยตัวออกมาทั้งที่เพิ่งขังไม่ได้

ฮองเฮาไม่อาจเข้าร่วมงานเลี้ยงได้ ผู้ที่นั่งด้านข้างจักรพรรดิจ้าวเหรินก็คือหวงกุ้ยเฟย

นางจับมือจักรพรรดิจ้าวเหรินแล้วพูดเสียงเบาด้วยท่าทีร่าเริง ท่าทางเหมือนดรุณีน้อยในวัยพลอดรักไม่มีผิด

“อุ้ย พวกเจ้าสองสามีภรรยาแอบกระซิบอะไรกัน?” เมื่อเห็นอวิ๋นหลิงนั่งลง พระชายาเสียนก็ส่งยิ้มให้นาง “หลานชายทั้งสองของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“วันๆเอาแต่กินแล้วนอน นอนแล้วกิน ตอนตื่นจะติดแขนมาก” อวิ๋นหลิงก็ส่งยิ้มให้นาง “ตอนนี้อากาศหนาว พาพวกเขามาต้องลมไม่ได้ ข้าให้แม่นมเฉินไปดูแลที่ตำหนักฉางหนิง”

อาจเป็นเพราะอวิ๋นหลิงคลอดบุตร จากที่ไม่ค่อยสนิทกับพระชายาเสียน ยามนี้ก็มีเรื่องคุยกันแล้ว อีกฝ่ายมีท่าทีสนิทสนมกับอวิ๋นหลิงมากขึ้น

“น้องสะใภ้สามมีบุญจริงแท้ ถึงเด็กๆจะคลอดก่อนกำเนิด แต่ก็แข็งแรงดี”

พระชายาเสียนมองสำรวจอวิ๋นหลิงแล้วก็อิจฉาขึ้นมา ยามที่นางคลอดลูกสาวคนแรกไม่ได้ง่ายเหมือนอวิ๋นหลิงเลย

“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงได้บุตรชายสองคนในครรภ์เดียว วาสนานี้ช่างน่าอิจฉาเสียจริง”

หลังจากที่นางคลอดลูกสาวคนแรกก็อยากได้ลูกชายเสมอมา แต่พยายามแล้วก็ยังไม่ตั้งท้องอีก หากจะบอกว่าไม่ร้อนใจก็คงไม่เป็นเรื่องหลอกลวงแล้ว

เมื่อได้ยินพระชายาเสียนเอ่ยเช่นนี้ เสียนอ๋องก็เผยรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ออกมา พูดคล้อยตาม “น้องสะใภ้สาม..มี...วาสนาจริงๆ”

อวิ๋นหลิส่งยิ้มให้เสียนอ๋อง “ขอบคุณพี่รอง”

เซียวปี้เฉิงเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย “ช่วงนี้พี่รองพูดลื่นไหลขึ้นแล้ว”

“ใช่แล้ว” พระชายาเสียนมองสามีด้วยแววตารักใคร่ “ประเดี๋ยวจั่งซวี่อยากท่องบทกวีอวยพรวันเกิดเสด็จพ่อ เขาฝึกมาหนึ่งเดือนกว่าเชียวนะ”

ถึงแม้พอจะรู้บ้างแล้วว่าเสียนอ๋องกำลังแสร้งโง่ แต่เซียวปี้เฉิงก็ยิ้มชมว่า “พี่รองกับพี่สะใภ้รองตั้งใจจริงๆ เสด็จพ่อต้องซาบซึ้งในความกตัญญูของพี่รองแน่”

พระชายาเสียนป้อนปากหัวเราะ เมื่อมองอวิ๋นหลิงใต้แสงเทียนแล้วก็อดอุทานไม่ได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ