พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 484

เซียวปี้เฉิงเองก็มีสีหน้าทอดถอนใจ เขามองอวิ๋นหลิง ในสายตามีประกายสั่นไหว

“ตอนข้าอายุสิบห้าปี เสด็จพ่อก็แต่งตั้งและประทานจวนให้ข้าแล้ว แต่พูดตามจริง ข้าไม่รู้สึกอะไรต่อที่นี่เลยสักนิด ทุกๆสิ้นปีที่กลับมาจากชายแดน ในจวนมักจะเงียบเหงาจนน่ากลัว มีเพียงอวี้จือที่พาฉู่อวิ๋นหานมาอวยพรปีใหม่ที่นี่ จวนอ๋องจึงนับว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง”

“ที่จริงข้าไม่ชอบที่นี่เลย ยินดีที่จะอยู่ในค่ายทหารชายแดนตลอดไป อย่างน้อยเหล้าที่นั่นก็ร้อน หอกของข้าก็ร้อน เลือดในร่างกายของข้าก็ร้อน หัวใจของผู้คนรอบข้างก็กระตือรือร้น......”

ดังนั้นแม้ว่าเจ้าเด็กอย่างลู่ฉีจะมีนิสัยขี้บ่น มักทำเรื่องโง่ๆ เซียวปี้เฉิงก็ยังเลือกที่จะเลื่อนตำแหน่งให้เจ้านี่ขึ้นมาอยู่ข้างกายตนเอง

เดินผ่านศาลาข้างทะเลสาบในจวน เซียวปี้เฉิงจูงมือของอวิ๋นหลิงเดินไปนั่งลง

ใต้แสงแดดยามเย็นที่สาดส่อง ใบหน้าด้านข้างของเขาระบายไปด้วยสีแดงเลือดฝาดบางๆชั้นหนึ่ง ดูแล้วอบอุ่นกว่าปกติ

“หลายปีก่อนหน้านี้วันเวลาที่ข้าอยู่ในจวนมีน้อยมาก ทุกครั้งที่กลับมาแม้แต่ทางที่จะไปเรือนหลักยังจำไม่ได้ กระทั่งหลังจากที่พ่ายแพ้ในสงครามจนทำให้ดวงตาได้รับบาดเจ็บ จึงจำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกนาน ยังจำวันที่ถูกส่งกลับมาที่จวนวันแรก รอบข้างมีเสียงคนจอแจเต็มไปหมด แต่ในสายตาข้านอกจากความมืดแล้วก็ไม่มีอะไรเลย”

“หลิงเอ๋อร์เจ้ารู้หรือไม่ ตอนที่แทรกซึมเข้าไปในค่ายทหารของศัตรูตัวคนเดียวข้าไม่เคยกลัว หลงทางในทุ่งหญ้าตอนกลางคืนข้าก็ไม่เคยกลัว แต่ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูจวนจิ้งอ๋อง ข้ารู้สึกถึงความหวาดผวาและกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”

อวิ๋นหลิงฟังเขาเงียบๆ เอียงศีรษะไปซบที่หน้าอกของเขา ถูกมือที่แข็งแรงโอบเอาไว้

“อวี้จือเดินไม่ได้ ถูกพิษเย็นทรมานทุกคืนวัน ถูกพระสนมหลี่พาไปดูแลอยู่ข้างกายด้วยตนเอง เสด็จพ่อยุ่งมาก เขาไม่มีเวลาและพลังที่จะมาสนใจองค์ชายที่กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ มีเพียงเสด็จปู่ที่ห่วงใยข้า และช่วงหลายปีที่ข้าไปทำศึก ได้กลายเป็นคนแก่ที่เลอะเลือน......”

“จวนจิ้งอ๋องตั้งแต่นั้นมาก็ยิ่งเงียบเหงา บางครั้งพระสนมหลี่เห็นอวี้จือเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ก็จะมาหาข้าด้วยตนเองอย่างโมโหและตำหนิข้า แต่ก็กลายเป็นสีสันในจวนที่หาได้ยากยิ่ง”

เอ่ยถึงเรื่องเก่าๆ เซียวปี้เฉิงยิ้มขึ้นมาจางๆ แววตาเรียบเฉย

“ตอนนั้นฉู่อวิ๋นหานมาบ่อยมาก ช่วยข้าทำความคุ้นเคยกับทุกเส้นทางทุกเรือนของจวนจิ้งอ๋อง นางมักจะปลอบใจให้กำลังใจว่าดวงตาของข้าต้องหายดีแน่ ช่วยอาจารย์หลินซินในการรักษาดวงตาของข้าอย่างไม่กลัวความยากลำบาก คิดถึงมิตรภาพเมื่อครั้งเยาว์วัย ข้าคิดว่าในโลกนี้ยังคงมีคนที่คิดถึงข้าด้วยใจจริงอยู่”

“แต่หลังจากนั้นฉู่อวิ๋นหานก็มาที่จวนจิ้งอ๋องน้อยลงเรื่อยๆ อวี้จือเอ่ยถึงบ่อยๆ นางกับพี่ใหญ่เข้าร่วมงานแต่งกวีชมดอกไม้ แล้วก็ไปงานเลี้ยงสังสรรค์ฤดูใบไม้ผลิ ในใจของข้าค่อยๆแจ่มชัดขึ้นมา เพียงแต่ข้ากลัวว่าจะถูกทอดทิ้ง กลัวการอยู่คนเดียว ดังนั้นจึงควบคุมไม่ให้ตนเองคิดไปไกล”

ตอนที่พูดประโยคนี้ มือของเซียวปี้เฉิงที่กอดอวิ๋นหลิงเอาไว้ใช้แรงมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว น้ำเสียงทุ้มต่ำลงไปบ้าง

นี่เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นหลิงได้ยิน เซียวปี้เฉิงยอมเผยด้านที่อ่อนแอที่สุดในหัวใจให้นางฟังอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้

“กระทั่งหลังจากเกิดเรื่องในคืนงานเลี้ยงเทศกาลหยวนเซียว ในที่สุดข้าก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริง......กระทั่งสูญสิ้นความหวังที่มีต่อคนและเรื่องราวในชีวิตที่เหลืออยู่ ดีที่สวรรค์ยังคงมีเมตตาต่อข้าอยู่บ้าง ส่งเจ้ามาอยู่ข้างกายข้า”

อวิ๋นหลิงฟังอย่างเงียบๆ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนแรกที่มาถึงที่นี่ นางเคยเปิดโปงแผนการชั่วร้ายของฉู่อวิ๋นหาน ต่อหน้าพวกเซียวปี้เฉิง

ตอนนั้นเยี่ยนอ๋องกับหลินซินโกรธจนหน้าแดงไปหมด ช่วยพูดเพื่อปกป้องฉู่อวิ๋นหานไม่หยุด แต่เซียวปี้เฉิงกลับนั่งอยู่ข้างๆ นั่งเงียบไม่พูดจาสักคำ

คิดว่าตอนนั้นเขาเองก็น่าจะรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ยากจะยอมรับได้

อวิ๋นหลิงรู้ว่าสามารถเข้าใจได้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกปวดใจอยู่หลายส่วน การเติบโตของนางไม่ได้ราบรื่น แต่อย่างน้อยก็มีพวกหลิวฉิงอยู่เป็นเพื่อนนางตลอดมา

ไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มืดมิดแค่ไหน ยังคงมีความหวังและความอบอุ่นที่ไม่อาจจะเลือนหายไปได้

นางกุมมือเขาเอาไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ข้าจะอยู่ตลอดไป”

ริมฝีปากของเซียวปี้เฉิงโค้งขึ้น ดวงตาอบอุ่นพลางหอมไปที่หน้าผากของนาง สายตาค่อยๆมองไปยังอิฐและหลังคาสีเขียว กิ่งหลิวที่ลู่ลงมาบนฝั่งของทะเลสาบ

หลังจากพบกับอวิ๋นหลิง โลกของเซียวปี้เฉิงจึงสว่างขึ้นอย่างมีความหมายแท้จริง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ