พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 643

เฟิงอิ๋งอิ๋งถูกชนจนครึ่งร่างแทบจะเคลื่อนไหวตามใจปรารถนาไม่ได้ นางได้สติกลับมาจากความเจ็บปวดรุนแรง ดวงตามีแววแค้นใจปะปนกับความโกรธ

ภายใต้ความปรารถนาอยากจะมีชีวิตรอดอย่างแรงกล้า ลากขาที่ถูกปืนคาบศิลายิงซ้ำยังถูกชนจนกระดูกหัก หนีให้ไกลออกไปทีละก้าวอย่างยากลำบาก บนพื้นมีร่องรอยสีแดงฉานของเลือดทิ้งไปเป็นทาง

เสวียนจีกระโดดลงมาจากรถสามล้อ หยิบเอากุญแจมือออกมากล่องข้างเบาะที่นั่ง เดินเข้าไปด้วยท่าทีองอาจกล้าหาญ

“หนี หนีให้สุดไปเลย”

เฟิงอิ๋งอิ๋งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยกแขนขวาที่กระดูกหักขึ้นมาด้วยความสั่นเทา เอานกหวีดกระดูกออกมาจากเอวเพื่อเป่า

เสียงกังวานของนกหวีดดังขึ้นอีกครั้ง

นางภาวนาว่าหุ่นเชิดมนุษย์มีพิษยังไม่ถูกสองสามีภรรยารัชทายาทสังหาร สามารถรีบมาช่วยคุ้มกันเจ้านาย เพื่อช่วงชิงโอกาสให้นางได้หนี

ภายในเรือนวั่งซู ขาทั้งสองของเสิ่นทัวถูกยิงข้างละหนึ่งนัด

ความเร็วในการโจมตีได้ลดลงแล้ว แต่ก็ยังคงฟาดฟันดาบไปที่เซียวปี้เฉิงอย่างไม่รู้จักเจ็บปวดและเหน็ดเหนื่อยเหมือนเดิม

เขาเป็นนักรบโดยกำเนิด

ตอนที่สู้รบอย่างดุเดือดกับชาวทูเจวียในทุ่งหญ้าเป็นเวลาสามวันสองคืน ระหว่างที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่ได้สติ ร่างกายยังคงต่อสู้ด้วยสัญชาตญาณ กระทั่งหมดแรง

ความตายที่คืบคลานเข้ามาไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว กลับกระตุ้นให้เกิดความฮึกเหิมอย่างไม่เคยมีมาก่อน

พวกหลิงซูได้เอาโซ่และตาข่ายเชือกมา อยากจะจับเป็นเขาในขณะเดียวกันก็ไม่อยากจะทำร้ายเสิ่นทัว

“เคลื่อนไหวเร็วอีกหน่อย พวกเจ้ากดเขาเอาไว้ ข้าจะลองใช้การฝังเข็มยาสลบ”

อวิ๋นหลิงตะโกนอยู่ด้านข้างอย่างร้อนใจ หนึ่งคือเป็นห่วงความปลอดภัยของเซียวปี้เฉิง สองคือเกรงว่าเสิ่นทัวจะเสียเลือดมากจนตาย

แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่กลัวความเจ็บ แต่ร่างกายก็ใช่ว่าจะทำขึ้นมาจากเหล็ก

จิตวิญญาณในการต่อสู้ของเขาเหมือนการเผาไหม้ด้วยเลือด เมื่อโลหิตไหลรินจนหมด เขาก็เดินไปถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

เมื่อเห็นว่าพวกหลิงซูจะทำสำเร็จแล้ว เวลานี้เองเสียงนกหวีดที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นอีกครั้ง

เสิ่นทัวแทบจะละทิ้งการต่อสู้ที่กำลังโรมรันอยู่กับเซียวปี้เฉิงในทันที อาศัยกิ่งไม้ในลานบ้านเสริมแรงในการกระโดด ออกไปนอกจวนอ๋องจิน

ได้ยินเสียงนกหวีดต้องรีบไปทันที นี่เป็นสัญชาตญาณที่เขาถูกฝึกฝนมานานหลายปี ได้ถูกฝังลึกเข้าไปในกระดูกดำ

สีหน้าของเซียวปี้เฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย กระโดดข้ามกำแพงตามไปอย่างไม่ยอมผ่อนปรน

……

ถนนจูเชี่ยใต้ท้องนภายามค่ำคืน

เสวียนจีเดินเข้าไปหาเฟิงอิ๋งอิ๋งด้วยท่าทีดุดัน เพิ่งจะเปิดกุญแจมือจะจับเฟิงอิ๋งอิ๋ง เสิ่นทัวที่มีเลือดอาบกว่าครึ่งร่างก็เหาะลงมาจากฟ้า จ้องมองเสวียนจีด้วยสายตาเต็มไปด้วยไอสังหาร

“ให้ตายเถอะมีผีดิบ”

ทันทีที่เห็นใบหน้าสีเขียวอ่อนนั้น เสวียนจีก็ตกใจจนขนลุกซู่

นางเป็นคนที่รักตัวกลัวตายมากที่สุดในองค์กร ตัวเองร่างเล็กไม่มีแรง เผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่สามารถจัดการได้ รีบงัดกลยุทธ์รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางมาใช้ทันที หมุนตัวหนีสุดชีวิต

เฟิงอิ๋งอิ๋งกัดฟันสู้ต่อความเจ็บปวดพลางพูดว่า “อาทัว จับตัวนางเด็ดคนนั้นเอาไว้”

มีเพียงจับตัวอีกฝ่ายเอาไว้ นางจึงจะสามารถหนีไปจากแผนการเอาชีวิตนี้ได้

เสิ่นทัวหันไปโจมตีเสวียนจีทันที แต่แล้วครั้งนี้กลับจับได้แต่ความว่างเปล่า มือใหญ่ข้างหนึ่งได้ดึงตัวสาวน้อยไปก่อนเขาก้าวหนึ่ง

หลังจากนั้น ชุดคลุมนักพรตสีม่วงอ่อนตัวหนึ่งก็ตกลงมาจากฟ้าคลุมเสิ่นทัวเอาไว้ ปิดกั้นการมองเห็นและการเคลื่อนไหวของเขา

ฉวยโอกาสนี้ เฟิ่งเหมียนรีบเปลี่ยนทิศทางของหัวรถสามล้อ ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นเขาที่ปั่นรถสามล้ออย่างรวดเร็ว

เสวียนจีรู้สึกตาลาย พอได้สติก็นั่งอยู่บนที่นั่งหลังคนขับแล้ว ด้านหน้าเป็นแผ่นหลังของเฟิ่งเหมียนที่สวมชุดสีขาว

หัวใจของนางสงบลงทันที จากนั้นก็เริ่มปริปากบ่น

“น่าโมโหไม่ยุติธรรมเลย ทั้งๆที่เป็นการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง ทำไมนางต้องเรียกตัวช่วยด้วย”

ยังดีที่ถึงแม้เฟิงอิ๋งอิ๋งจะเรียกตัวช่วย แต่นางก็มีพาหนะ ไม่ได้เสียเปรียบ

เฟิ่งเหมียนร่างกายแข็งเกร็ง เสียงที่ล่องลอยมาตามสายลมยามค่ำคืนแฝงไปด้วยความโมโหอยู่หลายส่วน

“ถ้าเจ้ายังบุ่มบ่ามไร้เหตุผล หลังจากนี้จะใช้กุญแจมือมัดข้อมือของเจ้าเอาไว้ ข้าอยู่ที่ไหนเจ้าก็ต้องอยู่ที่นั่น”

เสวียนจีหดลำคอลง รู้สึกผิดจนไม่กล้าส่งเสียงใดๆ

ห่างออกไปกว่าสิบเมตรทางด้านหลัง เสิ่นทัวยกมือขึ้นฉีกชุดนักพรตของเฟิ่งเหมียนออกเป็นชิ้น กำลังจะไล่ตามไป เสียงตื่นเต้นสั่นเทาสายหนึ่งก็ดังขึ้นทางด้านหลังของเขา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ