ซูต้าหนิวนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองดูรูปร่างเพรียวบางของลูกสาว แต่ดูมั่นคงเหมือนเสาเข็ม เลยพลอยทำให้ความโมโหโกธาของเขาก่อนหน้าดูสงบลง
เมื่อนางจางเห็นท่าทีเธอแบบนี้ จู่ๆ ในใจของนางจางก็รู้สึกลุกลี้ลุกลนอย่างบอกไม่ถูก ท่าทางที่แข็งกร้าวก็อ่อนลง "เจ้า... เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร? พวกเราทุกคนล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ?"
เธอทำให้ซูจิ่วโมโหจนอยากจะหัวเราะออกมา "ข้าเกรงว่าคงมีแต่ท่านคนเดียวที่คิดแบบนี้ ท่านแม่ ที่นี่คือบ้านสกุลซู และบ้านสกุลจางมันคนล่ะครอบครัวกัน ท่านเข้าไปดูถังในบ้านของเราสิ ข้างในยังมีอาหารเหลืออยู่เท่าไหร่ จะกินได้อีกกี่มื้อ? ถ้าท่านเอาแต่ขนสิ่งของไปบ้านพ่อแม่ตัวเอง ท่านแม่ก็เอาชีวิตของทุกคนไปทิ้งด้วยเลยดีไหม ”
เมื่อนางจางโดนเธอตำหนิต่อหน้าลูกเขยเช่นนี้ ใบหน้าก็เธอทั้งแดงทั้งซีดในเวลาเดียวกัน
“ตอนนี้เจ้ามันปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม ! ถึงได้พูดแบบนี้กับแม่ของเจ้า! ข้าก็แค่เห็นว่าชีวิตบ้านยายของเจ้ากำลังลำบากแค่อยากช่วย พวกเขาทั้งหมดเป็นญาติของเรา จะให้ข้าทนดูพวกเขาหิวได้อย่างไร” นางจางเองก็รู้สึกเสียใจ รู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจความลำบากใจของเธอ
เธอโทษลูกสาวของเธอที่ไม่เอาของมามากหน่อยตอนที่กลับมา และโทษผู้ชายในบ้านที่ไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวของแม่เธอได้
ซูจิ่วเย่ว์ขมวดคิ้ว ในใจก็รู้สึกลำบากใจจนพูดไม่ออก เธออยากจะเปิดหัวกะโหลกของแม่เธอจริง ๆ อยากดูว่าในหัวสมองของแม่เธอนั้นใส่อะไรไว้กันแน่!
“ พวกเขามีชีวิตที่ไม่ดีอย่างงั้นหรือ? พี่หรงเอ๋อร์อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเหมาเหมา แต่ดูเขาสิตัวสูงใหญ่กว่าเหมาเหมาไปเกือบครึ่งหัวแล้ว เขาแข็งแรงพอ ๆ กับลูกวัวตัวหนึ่ง! เมื่อท่านกลับไปทุกคนก็ร้องห่มร้องไห้บอกว่าที่บ้านยากจน ก็มีแต่ท่านนี่แระที่เชื่อคำพูดเหล่านี้ ! เหมาเหมาและน้อง ๆ ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าใหม่มานานแค่ไหนแล้ว เสื้อผ้าชุดเดียวมีรอยปะเต็มไปหมด เหมือนเสื้อผ้าอายุร้อยปีได้แล้ว ถ้าวันนี้ท่านยังยืนกรานที่จะเอาสิ่งของพวกนี้กลับไปบ้านพ่อแม่ตัวเองแล้วล่ะก็ หนูอยากจะบอกท่านว่า ต่อจากนี้ไปท่านไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก!”
คำพูดนี้ค่อนข้างแรงและตรง สิ่งที่พ่อของเธอตัดสินใจไม่ได้เธอจะเป็นคนตัดสินใจแทนเอง ถึงต่อจากนี้ไปจะต้องโดนตราหน้าว่าเป็นลูกอกตัญญูเธอก็จะยอมรับมันไปตลอดชีวิต ยังไงซะวันนี้เธอก็ไม่มีวันปล่อยให้น้องชายและน้องสาวของเธอถูกแม่โง่ๆคนนี้ทำให้ต้องทนทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป
ทันทีที่เธอพูดจบทุกคนก็ตกตะลึง
ซูต้าหนิวก็รีบลุกขึ้นยืนทันที นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักได้ว่าแทนที่เขาจะต้องทนฝืนกล้ำกลืนเพียงอย่างเดียว เขายังวิธีอื่นที่สามารถทำได้
เขาชี้ไปที่นางจางเพื่อช่วยลูกสาวของเขา
“ใช่ หากเจ้ายืนกรานที่จะทำเช่นนี้จริงๆ เจ้าก็กลับไปใช้ชีวิตกับพ่อแม่และน้องชายแท้ ๆ ของเจ้าได้เลย!”
อู๋ซีหยวนนั่งมองดูอย่างเงียบ ๆ ไม่ออกมาห้ามหรือออกมาเสริมทัพ*
จริง ๆ แล้วนางนางแม่ของซูจิ่วเย่ว์นั้นไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ ตอนที่พวกเขาสองคนแต่งงาน เป็นเพราะลุงของซูจิ่วเย่ว์หกล้มจนขาหักไม่มีเงินรักษา
แม่ของเธอต้องการค่าสินสอดเป็นเงินจำนวนสิบตำลึง คนในหมู่บ้านไม่มีใครมีเงินมากขนาดนั้น แม่ของเธอกลับคิดจะส่งซูจิ่วเย่ว์ไปให้ผู้อาวุโสชุยเพื่อเป็นภรรยาน้อยของเขา ในตอนนั้นพ่อของเธอยืนกรานยังไงก็ไม่ยินยอม และในที่สุดก็ได้เจรจากับครอบครัวสกุลอู๋ ตกลงด้วยเงินจำนวนห้าตำลึงเป็นค่าสินสอดให้เธอ
แม้แต่สุขภาพที่ไม่ดีของซูจิ่วเย่ว์ ก็เกิดจากการที่เธอขึ้นไปบนภูเขาเพื่อหาอาหารให้พวกเขาในช่วงที่ฤดูแร้งในปีนั้นที่ได้ทิ้งโรคไว้ให้เธอ
หากมีคนไม่กี่คนที่เขาจะเกลียดที่สุดในโลก หนึ่งในนั้นก็ต้องมีแม่ยายของเขาอย่างแน่นอน
เมื่อนางจางเห็นว่าทุกคนมองเธอด้วยสายตาไม่มีความเมตตา เธอก็โกรธมาก เธอแบกสิ่งของเหล่านั้น แล้วกระทืบเท้า "ได้! นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าพูดเองนะ!อย่ามาขอร้องให้ข้ากลับมาทีหลังก็แล้วกัน!"
พูดจบ ก็เดินตรงออกจากประตูบ้านไป
ซูจิ่วเย่ว์ก็ไม่คาดคิดว่าเธอจะออกไปจริงๆ แต่ก็เป็นเพราะพฤติกรรมของแม่เธอแบบนี้ ถึงทำให้เธอต้องยอมแพ้จริง ๆ
เธอมองไปที่พ่อของเธอซึ่งดูผิดหวังเล็กน้อย
ซูจิ่วเย่ว์หรี่ตาลง ปรับอารมณ์ลงแล้วค่อยพูดว่า: "ท่านพ่อ หนูจะไปทำอาหารเอง ในเมื่อท่านแม่จากไปแล้ว ต่อไปอย่าให้ท่านแม่กลับมาที่นี่อีก"
จริงๆ แล้วซูต้าหนิวค่อนข้างสับสน จากคู่สามีภรรยาวัยหนุ่มสาว อยู่กินกันมานานกว่าสิบปี ถึงจะไม่มีความรักต่อกันแล้วแต่ก็ยังมีความผูกพันกันอยู่
“แต่นี่”
ซูจิ่วเย่ว์มองออกว่าพ่อของเธอเริ่มใจอ่อนแล้ว เธอมองหน้าแล้วพูดว่า "ท่านพ่อ หนูแต่งงานไปแล้ว ถึงแม้ทุกมื้อที่บ้านจะไม่มีอะไรกิน ก็ไม่มีใครจะมาตำหนิลูกสาวที่แต่งงานไปแล้วอย่างหนูหรอก ใจของท่านแม่ไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว ท่านแม่ยอมให้ลูก ๆ และสามีของตัวเองทนหิวได้ ยังไงก็จะแบ่งอาหารให้กับน้องชาย ถ้าท่านพ่อยังใจอ่อนอีก หนูก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ช่วงเทศกาลยังไงหนูก็กลับมาเยี่ยมที่บ้านตามปกติ แต่หนูไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ถ้าหนูทำแบบนั้นหนูก็จะกลายเป็นท่านแม่คนที่สอง ”
ซูต้าหนิวขมวดคิ้วและเงียบไปนาน เมื่อซูจิ่วเย่ว์คิดว่าเขาคงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว กำลังเตรียมตัวจะไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหาร จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นว่า
“ข้าจะไปบ้านของเฉียนซิ่วไฉ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภรรยานำโชคของเสนาบดี
ตอนที่ 179-185 มีตอนละ 3 บรรทัด งงมาก ทำไมช่วงนี้ลงเนื้อหานิยายขาดหายตลอดเลย...
162-168 มีแค่บาทละ 2-4 บรรทัดเท่านั่นน...
161 มีแค่ 2บรรทัด เนื้อหาหายไปไหน งงง...
160 มีแค่สองบรรทัด...
บทนี้มีแค่ 4 บรรทัด...
บทที่140 -145 มีเนื้อหาบทละ 3-4 บรรทัดเท่านั่น เนื้อหาหายไปไหนน้อ...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...
อะแหมมมม พ่อหนุ่มน้อยของเราร้ายนะเนี่ย 5555...
มันมาได้ยังไง...
ซีหยวนน่ารักอ่า...