หรือว่าสิ่งที่เขาพูดถึงของกิน มันคืออันนี้?
ทั้งสองหมอบอยู่ในพุ่มไม้ชั่วขณะหนึ่ง และการต่อสู้กันที่นั่นก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว ละมั่งตัวหนึ่งล้มลงกับพื้นและอีกตัววิ่งหนีไปอย่างสั่นเทา
ซูจิ่วเยว่ถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย และถามสามีที่อยู่ข้างๆ นางว่า "ของกินที่เจ้าพูดถึง? มันคืออะไร?"
อู๋ซีหยวนมองดูละมั่งที่นอนอยู่บนพื้นในระยะไกล และพูดอย่างไร้เดียงสาว่า "มันตายแล้ว มันก็คืออาหาร"
ซูจิ่วเยว่จ้องมองไปที่เขา พยายามที่จะมองหาสิ่งผิดปกติบนใบหน้าของเขา แต่ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติเลย
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีละมั่งสองตัวต่อสู้กันที่นี่” ความคิดของอู๋ซีหยวนนั้นเหมือนกับเด็กอายุเจ็ดหรือแปดขวบเท่านั้น ดังนั้นไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม ถามเขาโดยตรงจะดีกว่า
อู๋ซีหยวนชี้ไปที่นกสีเทาบนกิ่งไม้ไม่ไกล “ก็มันบอกว่าอย่างนั้น”
ดวงตาของซูจิ่วเย่ว์เบิกกว้าง "เจ้าฟังเข้าใจสิ่งที่มันพูดงั้นหรึอ"
เสียงนกร้องนางเองก็ได้ยิน แต่นางไม่ได้ใส่ใจเลยใครจะคิดว่าอู๋ซีหยวนจะฟังเข้าใจ?
อู๋ซีหยวนพยักหน้า พอดีนกตัวน้อยส่งเสียงร้องอีกสองสามครั้ง ซูจิ่วเยว่ก็ถามว่า "คราวนี้พูดว่าอะไรนะ"
“มันบอกว่าท้องฟ้าใกล้มืดแล้วมันจะกลับบ้าน”
ซูจิ่วเยว่กลับมามีสติอีกครั้ง และมองไปที่ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้ากำลังจะลับขอบฟ้าในไม่ช้า ถนนกลางคืนบนภูเขาเดินไม่สะดวก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาต้องแบกละมั่งตัวนี้กลับไปด้วย พวกเขาต้องรีบกลับบ้านแล้ว...
。
นางยืนขึ้นและเดินไปทางละมั่งพยายามที่จะแบกมันขึ้นหลัง
ละมั่งตัวนี้น้ำหนักน่าจะแค่ห้าสิบกิโลเท่านั้น ดังนั้นซูจิ่วเย่ว์จึงคิดว่านางสามารถแบกได้
แต่อู๋ซีหยวนรู้แผนของนาง และเอื้อมมือไปหยุดนาง "เมียรัก ข้าแบกมันเอง!"
。
แม้ว่าอู๋ซีหยวนจะตัวสูงใหญ่ แต่ร่างกายของเขาไม่เหมือนคนที่จะทำงานหนักได้เลย ซูจิ่วเย่ว์สงสัยว่าเขาจะแบกละมั่งไว้บนหลังไหวไหม
แต่สิ่งที่อู๋ซีหยวนทำต่อจากนี้ทำให้นางเธอเบิกตากว้าง เขาจับละมั่งแบกขึ้นหลังได้อย่างได้อย่างง่ายดาย
ซูจิ่วเย่ววางกระสอบข้าวที่เคยใส่ข้าวมารองที่บ่าของอู๋ซีหยวนทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดเปื้อนเสื้อผ้าของเขา
ทั้งสองคน คนหนึ่งแบกมันไว้บนหลัง อีกคนอยู่ด้านหลังพยุงไว้ และเดินตั้งแต่พลบค่ำจนถึงพระอาทิตย์ตกดิน
ท้องของพวกเขาคำรามด้วยความหิวแล้ว และซูจิ่วเยว่ก็ลูบท้องของนางในขณะที่ปลอบอู๋ซีหยวนไปด้วย
“อดทนหน่อยนะ อีกไม่นานก็จะถึงบ้านแล้ว”
。
พวกเขาเพิ่งมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ก็พบกับหลิวซุ่ยฮวาซึ่งรออยู่ที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน หลิวซุ่ยฮวาเห็นพวกเขาจากระยะไกลและรีบวิ่งมาอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้าทำไมเพิ่งกลับมา? ! ฟ้ามืดแล้ว ข้างนอกมีหมาป่า !
นางเป็นกังวลมากจนรู้สึกเสียใจว่าทำไมนางถึงปล่อยให้พวกเขาสองกลับไปเิอง ทำไมไม่ให้ลูกชายคนรองไปส่งพวกเขา หากเกิดอะไรขึ้นมานางเกรงว่าจะโกรธตัวเองไปจนตาย
หลังจากเดินเข้าใกล้แล้ว นางถึงได้เห็นสิ่งที่อู๋ซีหยวนลูกชายแบกไว้บนหลัง
เธอรีบไปรับมันอย่างรวดเร็ว "นี่มันคืออะไร"
ซูจิ่วเยว่สูดลมหายใจและอธิบายว่า "เมื่อตอนที่เราสองคนกลับมา พวกเราเห็นละมั่งสองตัวต่อสู้กัน และละมั่งตัวนี้ถูกฆ่าตาย ข้ากับซีหยวนคิดว่านำมันกลับมา อย่างน้อยได้เป็นอาหารสำหรับครอบครัวของเรา ดังนั้นจึงแบกมันกลับมา"
หลิวซุ่ยฮวาตอนนี้เชื่อจริงๆ ว่าลูกสะใภ้ของเธอเป็นดาวนำโชค ทำไมนางมาอยู่ที่บ้านตระกูลอู๋เพียงไม่กี่วัน ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินดื่มแล้วหรือ?
"โอ้ว ลูกของข้าเหนื่อยแล้ว! จิ่วยาเจ้าวิ่งอีกสองสามก้าวไปเรียกพี่ชายของเจ้ามารับไปหน่อย"
ซูจิ่วเย่ว์ตอบรับและรีบวิ่งไปที่บ้าน
วันปกติอู๋ซีหยวนก็แทบไม่ได้ทำงานหนักอะไร ครั้งนี้ทำให้เขาเหนื่อยจริง ๆ แม้แต่ซูจิ่วเยว่ก็ยังสงสาร เขานับประสาอะไรกับแม่ของเขาเอง
ปล่องไฟโพยพุ่งควันดำออกมา ลมพัดโชย กลิ่นหอมกรุ่นของเนื้อลอยอบอวลไปทั่วหมู่บ้าน
กลิ่นหอมนั้นทำให้เพื่อนบ้านต้องออกมายืนหน้าประตูบ้านและชะเง้อมองหาที่มาของกลิ่นนั้น
ซูจิ่วเย่ว์หอบเอาฟืนเข้าไปในห้องครัว พอเข้าประตูมาหลิวซุ่ยฮวาก็เอาเนื้อยัดเข้าปากเขาทันที “ชิมดูสิ? อร่อยไหม?”
ผู้ที่กินผักมานานหลายเดือน กินข้าวแต่ละมื้อไม่เคยได้อิ่มท้องอย่างซูจิ่วเย่ว์นั้น การได้กินเนื้อสักคำ นับว่าเป็นอาหารอันโอชะที่สุดบนโลกใบนี้แล้ว
เมื่อซูจิ่วเย่ว์กินเนื้อที่อยู่ในปากจนหมด เธอยังเลียปากตัวเองพร้อมกับพยักหน้าอย่างใสซื่ออีกด้วย “อืม อร่อย!”
หลิวซุ่ยฮวาหัวเราะ “อร่อยก็ดีแล้ว แม่แบ่งเนื้อแยกไว้หลายชาม เธอเอาไปแบ่งให้เพื่อนบ้านกันคนละชามนะ”
ล้วนแต่เป็นเพื่อนบ้านคนกันเองทั้งนั้น ถ้าแอบเก็บไว้กินคนเดียวมันคงไม่ดีหรอก แต่เธอก็ไม่ได้แบ่งให้มากเท่าไรนัก ครอบครัวละสองชิ้นเล็กๆ เท่านั้นเอง ส่วนที่มากจะเป็นน้ำแกงเสียมากกว่า
ถึงกระนั้น ทุกๆ ครอบครัวก็ยังคงรู้สึกซาบซึ้งในความมีน้ำใจอยู่ดี
สมัยนี้กลัวแต่ว่าจะไม่มีเนื้อกินในช่วงวันตรุษจีนเสียด้วยซ้ำไป
ซูจิ่วเย่ว์หอบสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ที่เพื่อนบ้านมอบให้เธอนำกลับมาลบ้าน เมื่อเธอเดินถึงหน้าประตูบ้านก็บังเอิญพบกับหญิงสาวคนหนึ่ง เขากำลังยืนชะเง้อมองเข้าไปในบ้านของเธอ
ดูแล้วหญิงสาวผู้นี้อายุจะยังไม่มากเท่าไรนัก แต่
ซูจิ่วเย่ว์พึ่งจะมาอยู่หมู่บ้านเซี่ยหยางได้ไม่นาน และไม่ได้รู้จักคนในหมู่บ้านนี้มาก่อน ดังนั้นเธอจึงหยุดฝีเท้าลงและถามเขาไปว่า “ไม่ทราบว่า เธอมาหาใครกันหรือ?”
หญิงผู้นั้นจ้องหน้าของเธอด้วยท่าทางสงสัย เธอมองอยู่สักพัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร และเมื่อเขาเห็นว่าเฉินจาวตี้เดินออกมาจากลานบ้าน เธอจึงหันหน้าหนีและรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ซูจิ่วเย่ว์มองตามหลังเธอไปด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะหันหลังเข้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงเรียกของเฉินจาวตี้ดังขึ้น “เธอรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?”
ซูจิ่วเย่ว์เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ยังซักไซ้ไล่ถามด้วยความอยากรู้ว่า “ใครหรือ?”
เทียนซิวเหนียงโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ หูของเธอ และกระซิบบางอย่างเบาๆ จากนั้นสีหน้าของซูจิ่วเย่ว์ก็เปลี่ยนไปทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภรรยานำโชคของเสนาบดี
เอ็นดูพ่อหนุ่มจังเลย...
ตอนที่ 179-185 มีตอนละ 3 บรรทัด งงมาก ทำไมช่วงนี้ลงเนื้อหานิยายขาดหายตลอดเลย...
162-168 มีแค่บาทละ 2-4 บรรทัดเท่านั่นน...
161 มีแค่ 2บรรทัด เนื้อหาหายไปไหน งงง...
160 มีแค่สองบรรทัด...
บทนี้มีแค่ 4 บรรทัด...
บทที่140 -145 มีเนื้อหาบทละ 3-4 บรรทัดเท่านั่น เนื้อหาหายไปไหนน้อ...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...
อะแหมมมม พ่อหนุ่มน้อยของเราร้ายนะเนี่ย 5555...
มันมาได้ยังไง...