ราชินีหงสาร้อยเล่ห์ นิยาย บท 42

ทันทีที่พ่อลูกทั้งสองจากไป ก็พาคนในเรือนไปด้วยจึงว่างเปล่าไปมากกว่าครึ่ง หยุนหรั่นเฉินหมอบอยู่ที่พื้นไม่ขยับ เหมือนเสียใจจนเป็นบ้าไปแล้ว ชุดสีขาวทั้งตัวก็เต็มไปด้วยฝุ่นนานแล้ว เหมือนดอกไม้ที่ร่วงโรยถูกบดเป็นโคลน จนไม่สามารถยืดตัวตรงได้อีกเช่นนั้น

ฮูหยินเฒ่าชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง ในตาเป็นความเวทนาสงสารแวบผ่าน “ไปเถอะ”

แม่นมด้านข้างก็กล่าวเบาๆ “ฮูหยินเฒ่า คุณหนูรองนาง.......”

“หากว่านางยืนหยัดรับมือขึ้นมา บางทีอาจจะกลายเป็นหงส์ที่เด็ดเดี่ยวได้ หากว่าล้มลงแล้วลุกไม่ได้อยู่ตรงนี้ ก็เป็นเช่นนี้เถอะ หาคนที่จิตใจสงบเงียบไม่ก่อเรื่อง ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ก็นับว่าได้ตอบแทนไม่กี่ปีนี้ที่ลู่ซื่อที่ได้ดูแลปรนนิบัติข้าแล้ว”

เสียงของฮูหยินเฒ่าดังผ่านมาตามลมไม่ดังและไม่เบา เหมือนดั่งมีดแทงเข้าไปในจิตใจของหยุนหรั่นเฉินเช่นนั้น

นางกำหมัดขึ้นช้าๆ ปลายนิ้วแหลมๆแทงเข้าไปที่ฝ่ามือ ความแหลมคมทิ่มแทงจนเจ็บปวด!

“หยุน หรั่น เฟิง!”

......

หยุนหรั่นเฟิงประคองหยุนโม่กลับไปที่ห้องหนังสือ เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้น แม้ว่าจะเป็นหยุนโม่ก็รับไม่ไหว ราวกับว่าคนทั้งคนแก่ลงไปหน่อยแล้ว

เขามองไปที่หยุนหรั่นเฟิง มองดูใบหน้าลูกสาวที่เหมือนกับภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้ว รู้สึกปวดใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ “เฟิงเอ๋อ หลายปีมานี้ เจ้าโดนรังแกอะไรมาบ้าง?”

หลายปีมานี้เขาทำศึกตลอดทั้งปี คิดมาตลอดว่าลู่ซื่อจะดูแลหยุนหรั่นเฟิงเป็นอย่างดีที่สุด แต่กลับมาคราวนี้ ก็เกิดเรื่องขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เขาจึงตระหนักขึ้นมาได้ทันที เหมือนว่าลู่ซื่อจะไม่ได้ปฏิบัติต่อเฟิงเอ๋อด้วยความเมตตา

เขาเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ!

หยุนหรั่นเฟิงรินชาให้หยุนโม่ แล้วยิ้ม “ท่านพ่อ มีแต่คนเป็นหัวขโมยพันปี ไม่มีเหตุผลที่จะต้องป้องกันหัวขโมยเป็นพันปีหรอกเจ้าค่ะ เรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับท่าน”

หยุนหรั่นเฟิงรู้ความเอาอกเอาใจขนาดนี้ หยุนโม่จึงรู้สึกผิดมากขึ้น “หลายปีมานี้เจ้าโดนรังแกอะไร เจ้าพูดออกมา พ่อจะตัดสินให้เจ้า!”

หยุนหรั่นเฟิงหัวเราะทันที “ท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้านิสัยยังไง? บอกว่าบ้าอำนาจเอาแต่ใจล้วนเป็นการพูดให้น่าฟัง คนที่รังแกข้า ก็ไม่ได้มีจุดจบดีอะไร” ชะงักเล็กน้อย นางเหลือบมองไปทางหยุนโม่ กล่าวเบาๆ “ท่านพ่อ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้จบวันนี้เถอะเจ้าค่ะ”

วันนี้สั่งสอนลู่ซื่อ ไม่เพียงแค่แสดงให้เห็นความยุติธรรมสองคำนี้อย่างชัดเจนเท่านั้น แต่ยิ่งเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ลู่ซื่อโง่เขลา หยุนหรั่นเฉินถึงจะเป็นดอกไม้พิษที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของลู่ซื่อ หวังเพียงแค่หยุนหรั่นเฉินจะได้สติตื่นมาได้ทันเวลา อย่าได้บังคับให้นางต้องลงมืออีก!

ลู่ซื่อแค่คนเดียวก็ทำลายพลังชีวิตของหยุนโม่ไปมากมายแล้ว หากว่าพัวพันไปถึงหยุนหรั่นเฉินอีก หยุนโม่ให้ความสำคัญกับความรักความผูกพัน เกรงว่าจะยิ่งรับไม่ได้เข้าไปอีก

หยุนโม่ปกป้องนางด้วยใจจริง นางก็จะปกป้องหยุนโม่ ปกป้องตระกูลหยุนอย่างจริงใจเช่นกัน!

ลู่ซื่อถูกส่งเข้าไปที่คุกเซิ้นเจี้ยซือ พร้อมทั้งคนที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายของนางบ้างถูกทุบตีบ้างถูกขาย ลู่ซื่อกุมอำนาจมากว่าสิบปี ทันทีที่นางจากไป สรรพสิ่งในจวนก็ไร้คนจัดการดูแล เกิดความวุ่นวายขึ้นมาทันที

เดิมทีหยุนโม่ก็เป็นผู้ชายหยาบกระด้าง จะรู้เรื่องการดูแลจัดการเรื่องในบ้านเช่นนี้ได้อย่างไร รับมือจัดการต่อสองวันก็หัวหมุนหัวปั่นทำอะไรไม่ถูก คิดจะเชิญให้ฮูหยินเฒ่าออกมารับภาระ แต่กลับถูกฮูหยินเฒ่าปฏิเสธในคำเดียว “ข้าอายุมากแล้ว ดูแลจัดการเรื่องในบ้านไม่ไหว เจ้าไปเชิญคนอื่นเถอะ”

หยุนโม่รู้ว่าฮูหยินเฒ่ากำลังโกรธอยู่ในใจ จึงพูดได้เพียง “ในเมื่อท่านแม่ไม่สบาย ก็ให้เฉินเอ๋อจัดการ นางติดตามแม่ของนางได้เห็นและรับรู้จนคุ้นเคยมานานขนาดนี้ ก็ควรจะเรียนรู้มาได้บ้าง”

“นางก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะเรื่องแม่ของนาง นางก็เสียใจจนป่วยแล้ว ไม่ง่ายกว่าจะดีขึ้น เจ้าก็ให้นางทำงานหนักเป็นทุกข์ใจอีก มีคนที่เป็นพ่อแบบเจ้าด้วยหรือ?”

ฮูหยินเฒ่ากล่าวช้าๆ “ยิ่งไปกว่านั้นลูกผู้หญิงหน้าบาง เรื่องแม่ของนางเพิ่งจะหยุดไปได้ไม่กี่วัน นางจะมีหน้าออกมาพบเจอผู้คนที่ไหนกัน เลื่อนไปอีกหน่อยเถอะ”

“งั้นเรื่องในบ้านนี่......”

“ก็ให้เฟิงเอ๋อจัดการสิ นางก็เป็นคนที่เคยเป็นพระชายาขององค์ชายมาก่อน”

หยุนโม่อึ้งไปทันที “ห๊ะ เฟิงเอ๋อจะจัดการได้อย่างไร?”

“โลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรยาก ขอเพียงแค่มีใจ อนาคตนางจะต้องเป็นนายหญิงของตระกูล เรียนรู้อยู่ในบ้านก็ดี ทำเรื่องน่าขันในบ้านก็ยังดีกว่าอนาคตออกไปแล้วทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ”

พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว หยุนโม่จึงไม่สามารถพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงจากไปอย่างไม่สบอารมณ์

ฮูหยินเฒ่าหยุนมองส่งเงาหลังของหยุนโม่แล้ว ตอนนี้จึงได้กล่าวว่า “ออกมาเถอะ”

ม่านประตูเปิดขึ้นเล็กน้อย หยุนหรั่นเฉินเดินก้มหน้าออกมา คุกเข่าลงบนพื้นอย่างอ่อนโยน ผ่านเหตุการณ์นี้ นางก็ผอมลงไปอีกมาก ยิ่งดูงดงามอีกทั้งอ่อนแอชัดเจนขึ้น “ท่านย่า”

“ได้ยินคำพูดของพ่อเจ้าแล้วสินะ?” ฮูหยินเฒ่าหยุนกล่าวอย่างราบเรียบ

“อืม”

“เจ้าอยากจะดูแลบ้านหรือไม่?”

“หลาน....หลานอยาก และข้าคิดว่า ข้าจะดูแลได้ดียิ่งกว่าหยุนหรั่นเฟิง” ในดวงตาของหยุนหรั่นเฉินฉายแววความไม่เต็มใจเล็กน้อย

“ดูแลบ้านได้ดีแล้วจะอย่างไร?” ฮูหยินเฒ่ากล่าวเรียบๆ “เจ้าคิดจะอยู่ในบ้านไปตลอดชีวิตหรือ?”

หยุนหรั่นเฉินตะลึงงัน “ท่านย่า?”

“ดูแลจัดการบ้านเป็นเรื่องเล็ก ไม่ช้าไม่เร็วพวกเจ้าก็ต้องแต่งงานออกไป ไม่ว่าจะดูแลดีแค่ไหน สุดท้ายเรื่องในบ้านนี้ก็ยังต้องมอบให้แม่ของเจ้า ตอนนี้เรื่องของดาวหงส์เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่ว เจ้าฉวยโอกาสเรียนรู้ให้มากฝึกฝนให้มากจะดีซะกว่า การพัฒนาความสามารถของตัวเองสิถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”

แต่หยุนหรั่นเฉินก็ยังไม่ยอมเล็กน้อย “แต่หลานคิดว่า ดาวหงส์ไม่เพียงเป็นตำแหน่งที่สูงส่ง และมีอำนาจใหญ่ในมือเท่านั้น หากว่ามีชื่อเสียงที่ดีด้านความรอบรู้ชำนาญในการจัดการบ้าน ก็มีส่วนช่วยให้เกิดประโยชน์เช่นกันเจ้าค่ะ”

ฮูหยินใหญ่หัวเราะ ไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดว่า หยุนหรั่นเฟิงดูแลบ้านเป็นหรือ?”

หยุนหรั่นเฉินส่ายหน้าทันที

หยุนหรั่นเฟิงระรานบ้าอำนาจ หยิ่งผยองดูถูกคนที่ด้อยกว่า จะมีกระจิตกระใจคิดทำเรื่องการดูแลจัดการบ้านที่ซับซ้อนยุ่งยากเช่นนี้ได้อย่างไร

“ครั้งนี้ต่อหน้าพ่อของเจ้านางได้หน้า ไม่ทำให้นางล้มบ้าง พ่อของเจ้าก็อาจจะยังปกป้องนาง รอจนนางล้มลงมา แล้วเจ้าค่อยขึ้นไปแทน ถึงเวลานั้นก็เป็นช่วงที่เจ้าได้พยายามพลิกสถานการณ์แล้ว พ่อเจ้ารวมทั้งคนนอก ใครจะไม่มองเจ้าด้วยความชื่นชม? รอให้ผ่านไปอีกหน่อย เจ้าค่อยอ้างว่าป่วยอีก ข้าก็สามารถทำให้พ่อของเจ้ารับแม่ของเจ้ากลับมาได้แล้ว”

ในตาของหยุนหรั่นเฉินฉายแววความดีใจเล็กน้อย “ขอบคุณท่านย่าที่ชี้แนะ”

“ในเมื่อมาแล้ว ก็ไปเยี่ยมแม่ของเจ้าเถอะ เกลี้ยกล่อมนางให้ดีๆ และสอนนางให้ดีๆ”

“หรั่นเฉินจะทำตามคำสั่งของท่านย่าอย่างเคร่งครัดเจ้าค่ะ”

“ไปเถอะ”

รอจนหยุนหรั่นเฉินสาวเท้าจากไป แม่นมข้างกายของฮูหยินเฒ่าจึงได้เดินขึ้นมา “ฮูหยินเฒ่า ท่านเป็นคนที่มีสิทธิ์มีเสียงมากที่สุดในบ้าน ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอย่างไรก็สาวปัญหามาไม่ถึงตัวท่าน ท่านจะเข้าไปพัวพันด้วยทำไมเจ้าคะ?”

ฮูหยินเฒ่าหัวเราะช้าๆ “เข้าไปพัวพัน? ตั้งแต่ที่ข้าแต่งงานเข้าตระกูลหยุนนาทีนั้น ข้าก็ถูกโยงเข้ามาแล้ว อย่าเห็นว่าวันนี้หยุนโม่กตัญญู หากว่าให้เขารู้เรื่องเหล่านั้น ข้าจะอยู่อย่างได้ประโยชน์คนเดียวโดยไม่สนใจคนอื่นได้อย่างไร? ไม่ง่ายกว่าจะแลกสถานการณ์อย่างวันนี้มาได้ หรือว่าแก่แล้ว ยังจะต้องอยู่อย่างอ้างว้างตามสภาพการณ์ยามชรางั้นหรือ?”

แม่นมลังเลครู่หนึ่ง “เช่นนั้นคุณหนูรอง......”

“ลูกหลานตระกูลหยุนมีน้อยเกินไป นอกจากนางก็คือหยุนหรั่นเฟิง ข้าไม่เลือกนาง หรือจะให้เลือกหยุนหรั่นเฟิงงั้นรึ? หวังเพียงแค่นางจะเป็นโล้เป็นพายหน่อย ไม่เช่นนั้น......” นัยน์ตาอันแก่ชราของฮูหยินเฒ่ามีความหวาดหวั่นและซับซ้อนพรั่งพรูออกมา “ช่างเถอะ ข้าก็แก่แล้ว เดินก้าวหนึ่งดูไปก้าวหนึ่งละกัน”

แม่นมก็ถอนหายใจตามเช่นกัน ฮูหยินเฒ่าพูดถูกเจ้าค่ะ”

หยุนหรั่นเฟิงไม่รู้ว่าย่าหลานทั้งสองมีความคิดเช่นนี้ เมื่อได้รู้ว่าหยุนโม่ยุ่งกับงานบ้านจนปลีกตัวไม่ได้ นางก็เป็นฝ่ายเริ่มไปหาหยุนโม่ดึงปัญหามาเป็นของตัวเองโดยไม่ลังเล หยุนโม่ยังไม่วางใจ “เฟิงเอ๋อ พรุ่งนี้พ่อจะไปหาพ่อบ้านมาอีกสองคน เรื่องนี้เจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว”

หยุนหรั่นเฟิงหัวเราะแล้ว “ท่านพ่อเจ้าคะ อีกไม่กี่วันท่านก็ต้องไปฝึกทหารที่ชานเมืองของเมืองหลวงแล้ว อย่างน้อยก็หนึ่งเดือนกว่าจะสามารถกลับมาได้ แล้วจะเอาเรื่องในบ้านมอบให้คนนอกเช่นนั้นหรือ?”

“แต่เจ้า......”

หยุนหรั่นเฟิงทำให้บึ้งทันที “ท่านพ่อ แม้แต่ท่านก็ไม่เชื่อใจข้า?”

“เชื่อ! พ่อเชื่อ!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีหงสาร้อยเล่ห์