สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย นิยาย บท 810

บทที่ 810 คนแรกในประวัติศาสตร์

บทที่ 810 คนแรกในประวัติศาสตร์

มู่ซืออวี่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ได้ต้องการสิ่งใด หากฝ่าบาทต้องการพระราชทานอะไรให้หม่อมฉันจริง ๆ ไม่สู้พระราชทาน ‘รางวัล’ นี้ต่อราษฎรทั่วหล้าเถิดเพคะ!”

“อย่างไร?”

“ฝ่าบาทคงทราบว่าเมืองฮู่เป่ยและเมืองถงหยางมีสำนักศึกษาสตรีกระมังเพคะ?”

“แน่นอน”

“หม่อมฉันอยากร้องขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาทเรื่องหนึ่ง คือให้สตรีเข้าสอบขุนนางได้”

ทันทีที่ถ้อยคำนี้เปล่งออกมา ไม่เพียงแต่ฟ่านหยวนซีที่เงียบลง แม้กระทั่งลู่อี้ก็เงียบลงเช่นกัน

แน่นอนว่าพวกเขาเชื่อในความสามารถและพรสวรรค์ในการเรียนรู้ของสตรี โลกนี้ไม่เคยขาดสตรีมีความสามารถ อย่างไรก็ตาม เพียงเพราะพวกเขาไม่ได้ดูแคลนสตรี ไม่ได้หมายความว่าโลกนี้จะยุติธรรมต่อสตรี

“สตรีสอบเข้าเป็นขุนนาง นี่เป็นเรื่องที่ยากเย็น ระหว่างนี้ยังต้องผ่านความยากลำบากมากมายกว่าบุรุษเสียอีก” ฟ่านหยวนซีเอ่ย “เจ้าแสวงหาโอกาสนี้ให้สตรีทั่วหล้า ทว่าไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับข่าวดีนี้ได้”

“หม่อมฉันทราบดีเพคะ!” มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ “เช่นนั้นแล้วอย่างไร? โอกาสมอบให้พวกนางแล้ว หากพวกนางอยากเปลี่ยนโชคชะตาของตนเอง นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกนาง ถึงแม้ผ่านไปสิบปี ยี่สิบปี แม้กระทั่งสามสิบปี สี่สิบปี หรือห้าสิบปีให้หลังมีเพียงขุนนางที่เป็นสตรีปรากฏขึ้นมาเพียงหนึ่งคน อย่างน้อยก็มีคนคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ ทัศนคติที่มีต่อสตรีของโลกย่อมเปลี่ยนแปลงไป”

“ได้ หากเจ้ายินดีเป็นคนแรกในใต้หล้า ข้าก็ยินดีเป็นฮ่องเต้องค์แรกในประวัติศาสตร์ที่รับขุนนางหญิงมารับใช้บ้านเมือง ร้อยปีให้หลัง อย่างน้อยข้าก็ได้จะได้ถูกจารึกไว้ในพงศาวดาร”

หลังจากพูดคุยเรื่องราชการแล้ว มู่ซืออวี่ก็รู้ว่าฮ่องเต้และอัครมหาเสนาบดีของเขามีบางเรื่องที่ต้องหารือกัน จึงเอ่ยขอตัวไปเข้าเฝ้าฮองเฮา

หวังกงกงนำมู่ซืออวี่ไปยังพระตำหนักจิ่นซิ่ว

เมื่อซ่างกวนจิ่นซิ่วได้ยินว่ามู่ซืออวี่มาก็รีบรุดกลับมาจากอุทยานบุปผา ดึงตัวนางมาถามเรื่องมากมายเกี่ยวกับเมืองถงหยาง

“ฮูหยิน ท่านช่างเก่งกาจจริง ๆ” ซ่างกวนจิ่นซิ่วมองนางด้วยความปรารถนา “หากวันหนึ่งข้าได้ไปเห็นสำนักบัณฑิตคงจงที่ฮูหยินสร้างด้วยตาตนเองคงดีไม่น้อย”

“นี่ง่ายดายนัก” มู่ซืออวี่เอ่ย “ถึงแม้ต้องเดินทางนานไปบ้าง ขอเพียงฝ่าบาทรับปาก ก็ไม่ได้ยากเย็นเพียงนั้นเพคะ”

ซ่างกวนจิ่นซิ่วดึงตัวมู่ซืออวี่ไปถามคำถามเกี่ยวกับโลกภายนอกมากมายหลายอย่าง

สนทนากันไปเช่นนี้ ก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว ลู่อี้ยังคงหารือกับฟ่านหยวนซีไม่เสร็จ มู่ซืออวี่ทำได้เพียงอยู่ทานมื้อเย็นกับซ่างกวนจิ่นซิ่ว

“พระนางไม่หิวหรือเพคะ?” มู่ซืออวี่วางตะเกียบในมือลงเมื่อเห็นซ่างกวนจิ่นซิ่วทานเพียงเล็กน้อย “หรือว่ากระยาหารเหล่านี้ไม่ถูกปาก?”

“ฮูหยินคงไม่ทราบ ไม่นานมานี้ขุนนางในราชสำนักได้ให้ถวายคำแนะนำให้ฝ่าบาทรับสนม เรื่องนี้ย่อมส่งผลต่อพระนางฮองเฮาแล้ว” หลีเซียงเอ่ย

“ฝ่าบาททรงไม่ฟังอย่างแน่นอน” มู่ซืออวี่เอ่ย “แทนที่ท่านจะเอาแต่กังวลเรื่องนี้ ไม่สู้หาเรื่องอื่นมาทำ ให้พระองค์เองทรงสบายพระทัยขึ้นจะดีกว่า”

“เหตุใดฝ่าบาทจึงจะไม่รับพระสนมหรือ?”

“เพราะพระองค์ไม่ชอบความวุ่นวาย” มู่ซืออวี่เอ่ย “นอกจากนี้ ฝ่าบาทยังมียังมีพระสนมแล้ว สัตว์เลี้ยงเหล่านั้นในพระตำหนักเซียวเหยาก็คือสนมรักของพระองค์”

ซ่างกวนจิ่นซิ่วหัวเราะออกมา “มีอย่างนี้ที่ใดกัน?”

“พระนางลองไปถามพระองค์ดูเถิดว่าข้าพูดถูกหรือไม่”

“ฮูหยินลู่กล่าวได้ไม่ผิด” ฟ่านหยวนซีและลู่อี้เดินเข้ามาในพระตำหนัก “เสียแรงที่เจ้าเป็นฮองเฮามานานถึงเพียงนี้ ยังไม่เข้าใจข้าเท่าฮูหยินลู่”

ซ่างกวนจิ่นซิ่วรีบลุกขึ้นยืนถวายคำนับทันที

มู่ซืออวี่ถวายคำนับ แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเราควรกลับบ้านแล้วกระมังเพคะ?”

นับตั้งแต่มู่ซืออวี่กลับมา จำนวนผู้ที่แวะเวียนมาส่งคำเชิญแทบจะพังธรณีประตูจวนลู่แล้ว

มู่ซืออวี่ก็ไม่อาจเย่อหยิ่งจนเกินไป คำเชิญของสตรีสูงศักดิ์เหล่านั้น นางจำต้องตอบรับเข้าร่วม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย