ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตรกรรมที่เย่จิ่งอวี้กล่าวถึงนั้น ย่อมไม่ได้กล่าวถึงจิตรกรธรรมดาๆ แต่เป็นยอดฝีมือที่มีการฝึกฝนอย่างลึกซึ้ง
ความคิดแวบขึ้นมาในใจของอินชิงเสวียน และทันใดนั้นนางก็นึกถึงคนผู้หนึ่ง
“ผู้อาวุโสลิ่นก็อยู่ที่นี่ด้วย หากไม่มีวิธีอื่นจริงๆ ก็ลองไปถามเขาดูดีกว่า”
จู่ๆ เย่จั้นก็พยักหน้าเร็วๆ ราวกับเจอฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย
“ถูกต้อง ผู้อาวุโสลิ่นมีชื่อเสียงมาหลายปีแล้ว ความสำเร็จในวิชากระบี่และวรยุทธ์นั้นไม่ธรรมดา บางทีเขาอาจจะช่วยเราไขข้อสงสัยของเราได้ เช่นนั้นต้องรบกวนฮองเฮาด้วย”
เย่จั้นประสานมือคารวะค้อมกายถึงพื้น อินชิงเสวียนก็เอื้อมมือไปช่วยเขา แต่ก็คว้าพลาด
ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เสวียนเอ๋อร์ เจ้า...”
อินชิงเสวียนขัดจังหวะเขา พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าสบายดี ไปคุยกับผู้อาวุโสลิ่นเซียวก่อนเถอะ แล้วเราค่อยหารือเรื่องอื่นในภายหลัง”
นางก้าวสั้นๆ เดินไปที่ประตู เย่จิ่งอวี้เอื้อมมือไปช่วยประคอง พูดด้วยสีหน้ายุ่งงยากใจ “เสวียนเอ๋อร์...”
อินชิงเสวียนโบกมือ
“ถ้าท่านมีคำถามใดๆ ไว้เราค่อยคุยกัน ช่วยคนสำคัญกว่า”
เย่จิ่งอวี้เม้มริมฝีปากล่างอย่างแรง
“ก็ได้”
เขามองออกว่าดวงตาของอินชิงเสวียนผิดปกติ ต้องการถามคำถามมากมาย แต่ทำได้เพียงระงับไว้ก่อน
อินชิงเสวียนโบกมือ หยิบขลุ่ยดินเผาออกมา ยืนอยู่ที่ประตูและเล่นเพลงใจหินผา
ท่วงทำนองอันแสนไพเราะ ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดปะทะใบหน้า ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นมาก แม้แต่อินหลีซึ่งมีสีหน้าหมองคล้ำ ก็อดไม่ได้ที่จะมองมาทางนี้
นางค่อยๆ เปิดริมฝีปาก แล้วพึมพำเบาๆ
“ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านมาก...”
เสียงของนางเบาหวิว ในไม่ช้าเสียงขลุ่ยของอินชิงเสวียนก็คลอเบาๆ เย่จั้นรีบเข้ามาถามว่า “อินหลี เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า จำอะไรได้บ้างไหม”
อินหลีค่อยๆ หันหน้ามา แสงริบหรี่ฉายแวววาวในดวงตาที่สับสน แต่ก็คงอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็หายไปอีกครั้ง
เย่จั้นส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ แล้วช่วยประคองนางมานั่งข้างๆ
ที่ประตู อินชิงเสวียนยังคงเป่าขลุ่ยอยู่ ดนตรีอันเงียบสงบถูกส่งไปไกลโดยกำลังภายใน ราวกับน้ำในแม่น้ำสายเล็กที่ไหลเบาๆ ไปทั่วทุกมุมของตำหนักเทพ
เพียงไม่ถึงสิบห้านาที เสียงเสื้อผ้าสะบัดพลิ้วดังขึ้นจากด้านนอกประตู และชายผมหงอกก็เดินเข้ามาจากประตู
“เกิดอะไรขึ้น หรือว่ามีคนรังแกเจ้า?”
สายตาของลิ่นเซียววาววับดุจพยัคฆ์ เขาจ้องมองที่เย่จิ่งอวี้ จากนั้นหันไปมองเย่จั้น
อินชิงเสวียนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขาเคยเจอเย่จั้นกับเย่จิ่งอวี้หลายครั้ง แต่ตอนนี้เขากลายเป็นบ้าไปแล้ว จึงจำพวกเขาไม่ได้
“ท่านอาจารย์เข้าใจผิด นี่คือสามีของข้า นั่นคืออาเล็กของสามีข้า ที่ศิษย์เชิญอาจารย์มาที่นี่ เพื่อหารือบางอย่างกับท่าน”
อินชิงเสวียนชี้ไปยังอินหลีที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “คนนี้คืออาหญิงอินหลีของข้า เดิมทีนางไม่รู้วรยุทธ์ แต่ในตัวกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังภายใน พลังนี้เป็นอันตรายต่อชีวิตของนางแล้ว ไม่ทราบว่าอาจารย์พอจะมีวิธีช่วยนางได้หรือไม่ ดึงกำลังภายในนี้ออกไป”
ลิ่นเซียวเหลือบมองทุกคนและตอบอืม “ทำไมเจ้าถึงมีญาติเยอะขนาดนี้”
อินชิงเสวียนรู้ว่าเขาวิปลาส นางจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขา นางประสานมือคารวะแล้วพูดว่า “ต้องรบกวนท่านอาจารย์ด้วย”
ลิ่นเซียวเดินไปที่หน้าอินหลี แล้วใช้นิ้วสัมผัสชีพจร
“นางไม่รู้วรยุทธ์จริงๆ เป็นคนชั่วช้าจากไหนกันแน่ ถึงถ่ายโอนกำลังภายในให้คนธรรมดา?”
อินชิงเสวียนไอแห้งๆ และพูดว่า “เป็นเจ้าตำหนักจิน”
นางรู้ว่าลิ่นเซียวมุ่งเน้นไปที่การฝึกบำเพ็ญตบะ ไม่สนใจว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น ดังนั้นนางจึงอธิบายสั้นๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้
ลิ่นเซียวรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ
“เจ้าตำหนักจินตายง่ายๆ ขนาดนี้เชียวหรือ ข้ายังมีเรื่องอยากคุยกับเขาอยู่”
“ผู้อาวุโสไปแลกกเปลี่ยนความรู้กับเจ้าสำนักเฮ่อแห่งอิ๋นเฉิงก็ได้เหมมือนกัน ได้ยินมาว่าวรยุทธ์ของเขาทัดเทียมกับเจ้าตำหนักจิน แต่ตอนนี้เรายังต้องจัดการกับเรื่องของอาหญิงข้าก่อน ต้องขอร้องท่านแล้ว”
อินชิงเสวียนยกกระโปรงขึ้นและโค้งคำนับ แต่ถูกหยุดโดยกำลังภายในที่มองไม่เห็น
“ให้ข้าดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...