เมื่อเย่จิ่งหลานได้ฟังการสนทนาระหว่างทั้งสอง จู่ๆ ก็เกิดความคิดกล้าหาญแวบขึ้นมาในใจทันที
หากตัวเองสวมรอยเป็นคนญี่ปุ่นเหล่านี้...
ดูเหมือนหวังซุ่นจะอ่านความคิดเขาออก จึงพูดขึ้นทันควัน “ท่านอ๋องน้อยอย่าพยายามดีกว่า ไอ้บ้าสองคนนี้โหดเหี้ยมอำมหิตมาก ถ้าไม่ใช่เพราะถูกพวกเขาสังเกตเห็นข้อพิรุธ ข้าคงไม่ถูกคว้านท้อง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ท่านอ๋องน้อยไม่มีทักษะวรยุทธ์เลยด้วยซ้ำ”
เป่าเล่อเอ่อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็พูดเกลี้ยกล่อมอีกคน “รออีกหน่อยเถอะ ประเดี๋ยวก็มีคนมาช่วยเราเอง”
เย่จิ่งหลานพูดว่า “แทนที่จะรอคนอื่น ไม่สู้หาทางช่วยตัวเองก่อนดีกว่า อย่างน้อยก็ได้พยายามแล้ว ถึงล้มเหลวก็ไม่น่าเสียดาย อยู่อย่างนี้ต่อไปมันบัดซบจริงๆ ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว”
เขาพูดภาษาญี่ปุ่นกับหวังซุ่นหลายคำ แล้วถามว่า “สำเนียงของข้าเหมือนคนญี่ปุ่นแท้ๆ ไหม”
หวังซุ่นยกนิ้วโป้งให้
“ที่ท่านอ๋องพูดเหมือนคนญี่ปุ่นมากกว่าข้าอีก”
เดิมทีเจ้าหมอนี่ก็รู้จักประจบประแจงอยู่แล้ว ตอนนี้มาติดตามเย่จิ่งหลาน ได้กินของที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อน ใครมีน้ำนมเลี้ยงก็เรียกเป็นแม่ จึงคิดที่จะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนแล้ว
เย่จิ่งหลานพูดอย่างไม่เกรงใจ “ตาแก่นี่อย่ามาโกหกข้าเชียวนะ นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตคน ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ข้ายังไม่อยากตายนะ”
หวังซุ่นหัวเราะแหะๆ แล้วพูดด้วยใบหน้าที่ประจบสอพลอ “ข้าน้อยไม่กล้าโกหกท่านอ๋องแน่นอน ถ้าท่านอ๋องต้องการออกไปจริงๆ ข้ามีวิธีตบตาพวกเขา”
เย่จิ่งหลานเลิกคิ้วแล้วพูดว่า “คิดจะตดก็รีบตด”
ตั้งแต่ออกจากวัง เย่จิ่งหลานก็ไม่สงวนท่าทีอีกต่อไป อยากพูดอะไรก็พูด ในยุคปัจจุบันต้องแกล้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อให้ได้กินอาหารสักคำ ตอนนี้ในที่สุดก็เป็นใหญ่เป็นโตแล้ว จึงต้องเพลิดเพลินให้เต็มที่
หวังซุ่นกล่าวทันทีว่า “ที่แคว้นตงหลิวมียาสุชินอ๋อง เขามีลูกชายที่อายุใกล้เคียงกับท่านอ๋อง แต่เขาเก่งวิชาต่อสู้นินจา หากท่านอ๋องสวมรอยเป็นคนผู้นี้ อาจจะทำให้พวกเขาทั้งสองกลัวได้”
“โอ้ ถ้าอย่างนั้นก็บอกข้ามาเร็ว ว่าเขามีความสามารถและลักษณะอย่างไรบ้าง”
จู่ๆ เย่จิ่งหลานก็เริ่มสนใจ
ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างๆ อยากกลับก็กลับเข้ามาได้เสมอ
หลังจากได้ยินสิ่งที่หวังซุ่นพูด เขาคิดว่าสามารถออกไปลองดูได้ จึงเอามือไพล่หลังเดินออกจากมิติ
คนปัญญานิ่มสองคนกำลังมองหาว่ามีกลไกหรือไม่ หากไม่มี งั้นก็ต้องเป็นเวทมนตร์คาถาของแคว้นตงหลิวของพวกเขาแน่ๆ
“เลิกหาได้แล้ว”
เย่จิ่งหลานปรากฏตัวขึ้นกลางพื้นดิน สบถด้วยภาษาของพวกเขา “พวกสวะสองคนนี้ เรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ ถ้าเสด็จพ่อของข้ารู้เข้า ต้องเลาะกะโหลกของพวกเจ้าออกมาหมักสุราดื่มแน่ๆ”
เมื่อฟังสำเนียงตงหลิวที่ถูกต้องของเย่จิ่งหลาน ทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน หนึ่งในนั้นพูดว่า “เขาเป็นลูกชายของยาสุชินอ๋องจริงๆ งั้นรึ”
“ไม่ถูกสิ ยาสุชินอ๋องหวงแหนลูกชายราวกับชีวิต จะส่งมาที่นี่ได้อย่างไร”
เย่จิ่งหลานพูดไม่ออก คิดว่าเขาหูหนวกไปแล้วหรือไง เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าพวกขาดความเฉลียวฉลาดสองคนนี้ กำลังวางแผนร้ายเสียงดังอยู่แท้ๆ
“สวะอย่างเจ้าสองคนก็มีความรู้อยู่เหมือนกันนี่ ใช่แล้ว ข้าคืออ๋องน้อยยาสุชื่อโมริตะคาวาสึบาเมะ เห็นข้าแล้วยังไม่รีบทำความเคารพอีกรึ”
แม้ว่าเย่จิ่งหลานจะไม่ได้มีรูปร่างสูงใหญ่ แต่ก็มีบารมีเปี่ยมล้ม ซึ่งนี่เป็นผลพวงมาจากการเป็นท่านอ๋องด้วย
ทั้งสองคนต่างถอยหลังหนึ่งก้าว ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริงหรือเท็จอยู่ครู่หนึ่ง
เย่จิ่งหลานแสยะยิ้มเย็นชา ก่นด่า “บากะยาโร่ว (ไอ้โง่เอ๊ย) เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะทำลายพวกเจ้าซะ”
เขาเหยียดฝ่ามือออก เผยให้เห็นบางสิ่งที่เป็นท่อนสีดำ
เย่จิ่งหลานแสร้งทำเป็นเกรี้ยวกราด ทันใดนั้นแท่งสีดำก็ปล่อยกระแสไฟฟ้าสีน้ำเงินออกมา ส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ
คนญี่ปุ่นทั้งสองตกใจ พวกเขาไม่เคยเห็นกระบองไฟฟ้ามาก่อน ผงะถอยหลังหนึ่งก้าวทันที คุกเข่าดังตุบ แล้วก้มหน้าคำนับอย่างเต็มพิธีการ
“ข้าน้อยน้อมคำนับท่านอ๋องน้อย”
เย่จิ่งหลานกระตุกมุมปาก ของชิ้นนี้อินชิงเสวียนเป็นคนมอบให้เขา เอาไว้ให้เขาใช้ป้องกันตัว เพียงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้ายอดฝีมือ สิ่งนี้ไม่ได้มีประโยชน์มากนัก แต่ถ้าหากแค่ขู่ขวัญทำให้คนโง่สองคนนี้กลัว มันก็มากเกินพอด้วยซ้ำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...