สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 1209

“บนนั้น...ดูเหมือนว่าจะมีอักษรรูนต้องห้ามแห่งเต๋าอยู่”

เย่จิ่งอวี้มองไปที่กลุ่มหลักการที่ไร้รูปร่างที่มองไม่เห็น แล้วพูดอย่างไม่แน่ใจ

เย่จิ่งหลานคว้าแขนของเขาแล้วยืนขึ้น มองซ้ายขวา แต่ไม่เห็นอะไรเลย

“มีเขียนอักษรรูนต้องห้ามแห่งเต๋าไว้ที่ไหน หรือเป็นภาพแกะสลักที่ยุ่งเหยิงเหล่านี้?”

เย่จิ่งอวี้ส่ายหัว

“นี่เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ไม่สามารถอธิบายได้ แต่ดูลึกลับมาก”

เย่จิ่งหลานกลอกตา พูดซะลึกลับเลย ก็แค่ก้อนหินเองไม่ใช่หรือ

“ยันต์นี้ต้องมีอะไรแปลกๆ แน่ ขอข้าลองดูอีกหน่อย”

เขาหยิบเลื่อยไฟฟ้าที่ส่งเสียงดังอีกครั้ง และวิ่งไปที่อักษรรูน ในช่วงเวลาฉับพลันนั้นเองก็มีเสียงดังลั่น เย่จิ่งหลานก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นผลักออกไปอีกครั้ง

“ให้ตายเถอะ นี่มันบ้าอะไรเนี่ย เป็นวัชระที่ทำลายไม่ได้งั้นหรือ”

เย่จิ่งอวี้ไปประคองหลังเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า “สิ่งนี้ดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณ มันรับรู้ได้ว่าเจ้ากำลังจะโจมตีมัน อย่าลองอีกดีกว่า เดิมทีสิ่งนี้ก็ไม่ใช่ของเรา หากฝืนทำลายไป จะเป็นการกระทำที่ผิดธรรมชาติและจะนำมาซึ่งผลเสียตามมา”

เย่จิ่งหลานไม่เห็นด้วย แต่ก็ยากที่จะคัดค้าน

แม้ว่าเย่จิ่งอวี้เจ้าเด็กนั่นจะอายุไม่มากนัก แต่ในนามแล้ว ตัวเองก็เป็นน้องชายของเขาอยู่ดี

ประเดี๋ยวค่อยไปขอของจากยัยบ้านั่น แล้วคราวหน้าเขาค่อยทำเอง

เมื่อคิดได้ดังนี้ เย่จิ่งหลานก็พยักหน้า

“ที่เสด็จพี่ตรัสก็มีเหตุผล ถึงอย่างไรตู้เยี่ยนก็ตายไปแล้ว การมาคราวนี้ก็นับว่าไม่ไร้ผล”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่ ที่ข้ากับเสวียนเอ๋อร์ยังอยู่ที่นี่ก็เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องตู้เยี่ยน ตอนนี้ได้จัดการแก้ไขทุกอย่างแล้ว เราจะได้กลับไปเมืองหลวงเร็วๆ นี้”

เย่จิ่งหลานไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “ข้ายังอยากอยู่ต่ออีกหน่อย”

เย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “หรือว่าเจ้ายังมีเรื่องอะไรที่ต้องจัดการอีก?”

เย่จิ่งหลานพูดด้วยสีหน้าปรารถนาว่า “อีกไม่นาน ก็จะถึงการประลองยุทธ์ระหว่างตำหนักเทพและอิ๋นเฉิงแล้ว อุตส่าห์ได้มีโอกาสชมการประลองของเหล่ายอดฝีมือทั้งที หากไม่อยู่ดูก่อน คงจะน่าเสียดายแย่”

การประลองยุทธ์ครั้งนี้เป็นสิ่งล่อใจอย่างมากสำหรับผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธ์ ถ้าเย่จิ่งอวี้ไม่ใช่กษัตริย์ของแคว้น ตัวเขาเองก็อยากอยู่ดูต่อเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เขายังมีความรับผิดชอบของแผ่นดิน จึงไม่กล้ารั้งอยู่นานนัก

“ถ้าเจ้ายืนกรานที่จะอยู่ ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่อย่าลืมคิดให้รอบคอบก่อนทำอะไร และอย่าสู้กับกำแพงอีก”

ในใจของเย่จิ่งอวี้ เย่จิ่งหลานยังเป็นเด็กที่มีอายุไม่กี่ขวบเสมอ ไม่ว่าเขาจะสูงจะโตแค่ไหน จิตใจของเขายังไม่เป็นผู้ใหญ่

เย่จิ่งหลานโอบไหล่เย่จิ่งอวี้ แล้วพูดด้วยใบหน้าที่เชื่อฟัง “เสด็จพี่ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น ข้าสัญญาว่าจะแค่สังเกตดูเฉยๆ จากนั้นก็จะกลับเมืองหลวงทันที”

เย่จิ่งอวี้ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าสามารถปกครองชาวยุทธ์ได้มากมาย สามารถกำจัดพวกตงหลิวออกไปได้ ก็นับว่าเป็นกระบวนการเติบโตที่ดี หากเจ้าไม่มีประสบการณ์นี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดข้าก็จะพาเจ้ากลับไปด้วย”

อินชิงเสวียนยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาทั้งสองโดยไม่พูดอะไร

เย่จิ่งหลานเป็นผู้ชายในวัยยี่สิบกว่าแล้ว เรื่องแค่นี้ เขาสามารถจัดการได้ สิ่งเดียวที่กังวลคือชาดแห่งบาปจุดสีแดงเข้มที่หว่างคิ้วของเขา จนถึงตอนนี้ เจ้าสิ่งนี้ยังไม่มีผลกระทบมากนัก แต่ในอนาคตจะส่งผลอะไรนั้น ใครก็ไม่สามารถบอกได้

แต่ไม่รู้จะอธิบายสิ่งนี้อย่างไร เนื่องจากเหล่านักพรตเต๋าอยู่ในอารามซ่างชิงกวนในเมืองหลวง เมื่อกลับไปแล้วถึงจะสอบถามได้

ตอนที่ชาวตงหลิวทำร้ายชาวบ้านในเมืองหลวง นางเคยสงสัยว่าเป็นฝีมือของเย่จิ่งหลาน แต่ในเวลานั้นยังไม่รู้จักกันดี หลังจากประสบกับการต่อสู้ที่เป่ยไห่ นางก็เข้าใจอารมณ์ของเย่จิ่งหลานแล้ว

แม้ว่าเขาจะดูเหมือนทำอะไรสบายๆ แต่เนื้อแท้แล้วเขาก็มีความรับผิดชอบอย่างมาก ทั้งยังทำหน้าที่ของตนเพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง

คนประเภทนี้ที่มีอุดมการณ์ต่อครอบครัวและบ้านเมือง จะไม่มีวันฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์