สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 339

เห็นได้ชัดว่าเด็กกลัวจนร้องไห้อยู่ตลอดเวลา หยาดน้ำตาเม็ดใหญ่เท่าถั่วไหลรินออกมาจากด้วยตาไม่ขาดสาย ขอบตาของเขาแดงก่ำ

อินชิงเสวียนที่อุ้มเขาไว้ขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววเบื่อหน่าย

ขณะที่กำลังจะเข้าไปในวัง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้า

ชายหนุ่มรูปงามที่สวมชุดคลุมสีขาว ขี่ม้านำกลุ่มทหารรักษาพระองค์ออกมา เมื่อเขาเห็นเสี่ยว‍หนาน‍เฟิง ชายคนนั้นดูประหลาดใจ และลงจากหลังม้าทันที

“เสวียน‍เอ๋อร์ จ้าวเอ๋อร์ พวกเจ้ากลับมาแล้วรึ”

คนที่ถามคำถามนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเย่‍จิ่ง‍อวี้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันในรัชสมัยนี้

ครึ่งชั่วยามที่แล้ว เขากำลังคุยเรื่องพิธีศพของไทเฮากับซ่งหันเจียงเสนาบดีกรมพิธีการ และสวีเม่าผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสี่ยวอานจื่อมารายงานด้วยสีหน้าตื่นตระหนก บอกว่าจ้าวเอ๋อร์ถูกลักพาตัวไป

เมื่อเขารู้ว่าอินชิงเสวียนไปตามลูกที่ทางทิศตะวันตกของเมือง เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็เป็นกังวลอย่างมาก เขาไล่ขุนนางทั้งสองกลับไปออกทันที แล้วนำทหารออกจากวังหลวง แต่ไม่คาดคิดจะได้เห็นพวกนางสองแม่ลูกอยู่ที่หน้าประตูวัง เขาก็รู้สึกโล่งใจในที่สุด

ขณะที่อินชิงเสวียนกำลังจะพูด เงาสีขาวก็กระโดดออกมาจากระยะไกล และเห่าใส่นาง

คิ้วของเย่‍จิ่ง‍อวี้เลิกขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววครุ่นคิด จากนั้นเขาเห็นหน้าของเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจากการร้องไห้ เขาจึงยื่นมือออกทันที

พูดอย่างอบอุ่น “เสวียน‍เอ๋อร์ไม่ต้องกลัว ส่งลูกมาให้ข้าเถอะ”

เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาทันที ไปหาเย่‍จิ่ง‍อวี้ ร้องสะอื้นว่า “เด็จพ่อ~”

เป้าหมายของอินชิงเสวียนไม่ใช่เด็กคนนี้ ดังนั้นนางจึงส่งเด็กให้เย่‍จิ่ง‍อวี้ จากนั้นนวดขมับของตัวเอง แล้วพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด “หม่อมฉันปวดหัวเพคะ ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะให้ทหารออกไปก่อน แล้วอยู่กับหม่อมฉันได้หรือไม่”

เย่‍จิ่ง‍อวี้รับเด็กมาอย่างระมัดระวัง เรียวตาหงส์มองสำรวจอินชิงเสวียน แล้วพูดกับทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ข้างๆ ว่า “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน ข้ามีเรื่องอยากถามอยู่พอดี ว่าเจ้ากับจ้าวเอ๋อร์รอดพ้นจากอันตรายได้อย่างไร”

อินชิงเสวียนหลับตาลง พูดด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย “มีคนแปลงโฉมเป็นเด็กรับใช้ของท่านเสนากวน แล้วชิงตัวจ้าวเอ๋อร์ไปเพคะ พอเห็นว่าหม่อมฉันตามทัน เขาก็วางเด็กไว้ในที่โล่ง หม่อมฉันกลัวว่าฝ่าบาทจะเป็นห่วง จึงไม่รอช้า เมื่อช่วยเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงได้แล้วก็รีบกลับวังมาเลย”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ถามเบาๆ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาแปลงโฉม”

อินชิงเสวียนล้วงหน้ากากออกจากอกเสื้อ

“หม่อมฉันดึงหน้ากากออกมาจากหน้าของเขาได้ แต่ใบหน้าจริงที่อยู่ข้างใน หม่อมฉันไม่รู้จักเพคะ”

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”

ใบหน้าหล่อเหลาของเย่‍จิ่ง‍อวี้ตกใจเล็กน้อย เขาหยิบหน้ากากผิวหนังมนุษย์มาดู มองอย่างพิจารณาแล้วก็ยัดเข้าไปในอกเสื้อ

“ท่านเสนากวนเป็นขุนนางอาวุโสของสองราชวงศ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด ข้าจะเอาสิ่งนี้ไปถามเขาด้วยตัวเอง”

อินชิงเสวียนยอบกายคำนับเล็กน้อย “ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามพระประสงค์ของฝ่าบาท”

กระแสเสียงของนางอ่อนโยน ทว่าสายตาที่หรี่ลงเจือแววหวาดกลัวเล็กน้อย เย่‍จิ่ง‍อวี้ที่อยู่ตรงหน้ามีความสมบูรณ์พร้อมทุกประการ บริเวณรอบกายไม่เผยช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย

ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกลับมีวรยุทธ์ที่อยู่ในระดับสูงเช่นนี้ นางจึงอดไม่ได้ที่จะตกใจ

เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นดวงตาสีนิลคู่หนึ่งจ้องมองนางอยู่ นางผงะถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

“เหตุใดฝ่าบาทถึงมองหม่อมฉันเช่นนี้”

ดวงตาของเย่‍จิ่ง‍อวี้เย็นชา มือขวาที่ว่างของเขาฉวยจับใบหน้าของนางอน่างรวดเร็ว

“ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าคนแบบไหนซ่อนอยู่ใต้ใบหน้านี้”

เขาลงมืออย่างรวดเร็วว่องไว จนทำให้เกิดภาพซ้อนติดตา

ยังไม่ทันที่โยวหลานจะตอบสนอง หน้ากากผิวหนังมนุษย์บนใบหน้าของนางก็ถูกฉีกออก

นางไม่คาดคิดว่าตัวเองจะถูกเปิดเผยอย่ารวดเร็วเช่นนี้ ในเวลาเดียวกัน ไป๋เสวี่ยที่จ้องมองเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงอยู่ตลอดก็แยกเขี้ยวอันแหลมคม และอ้าปากหมายจะเข้าไปกัดโยวหลาน

โยวหลานเคยถูกสุนัขกัดมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อนางเห็นว่ามันมาอีกแล้ว นางก็ตื่นตระหนกทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์