เย่จิ่งอวี้คลี่ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ทุกท่านลุกขึ้นเถิด”
ทั้งสองคำนับอีกครั้ง และยืนขึ้นด้วยความเคารพนบนอบ
“ฝ่าบาทเชิญด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้พยักหน้าและก้าวเข้าไปในบ้าน
ซูหมิงหลานมองดูเด็กที่อวิ๋นฉ่ายอุ้มไว้อีกครั้ง
เสี่ยวหนานเฟิงตัวอ้วนท้วนผิวขาวอมชมพู กำลังกัดกำปั้นน้อยๆ ของตัวเองพลางสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ดวงตาคล้ายองุ่นสีดำผลใหญ่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ช่างเป็นเด็กที่รูปงามจริงๆ!
ซูหมิงหลานเห็นแล้วก็ชอบ อดไม่ได้ที่จะมองดูอีกสักหน่อย
ทว่าอินชิงเสวียนกลับกำลังมองนางอย่างสำรวจตรวจตรา รู้สึกว่าสตรีคนนี้ดูท่าทางใจดี เค้าหน้าได้สัดส่วน ดูเหมือนคนที่มีแผนร้ายซุกซ่อนอยู่เลย
แต่ว่าจะตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในใจ
ครั้นจึงขยิบตาให้อวิ๋นฉ่าย แล้วเดินตามเย่จิ่งอวี้เข้าประตูไป
ทุกคนต่างนั่งในตำแหน่งที่เหมาะสม แต่อินจ้งกลับไม่มีของสิ่งใดที่จะต้อนรับขับสู้ฝ่าบาท จึงร฿สึกกระดากอายอย่างอดไม่ได้
ก่อนหน้านี้ยังพอจะเหลือใบชาคุณภาพแย่อยู่บ้าง จึงรีบสั่งคนไปชงชามาต้อนรับ
เย่จิ่งอวี้ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “แม่ทัพอินไม่ต้องเกรงใจ ข้าจะนั่งพักสักครู่แล้วก็จะไปแล้ว สามวันหลังจากนี้ ข้าจะให้คนมารับเสวียนเอ๋อร์กลับวัง”
“เอ่อ...หายากที่ฝ่าบาทจะเสด็จมาจวนได้สักหน ควรจะอยู่รับกับข้าวบ้านๆ ก่อนดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก ข้ายังต้องไปที่กรมยุติธรรมอีก พิธีการเหล่านี้ก็เว้นไว้ก่อนเถิด แม่ทัพอินและเสวียนเอ๋อร์ไม่ได้เจอกันมาหนึ่งปีแล้ว ต้องมีเรื่องจะพูดคุยกันมากมาย ดังนั้นข้าจะไม่รบกวนการรำลึกถึงอดีตของพวกท่านแล้ว”
หลังจากที่เย่จิ่งอวี้พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืน
เขามาที่นี่พอเป็นพิธีเท่านั้น งานในราชสำนักยังมีอีกหลายสิ่งที่รอให้เขาจัดการ ดังนั้นจะอยู่นานนักไม่ได้
อีกอย่างยังต้องไปดูที่กรมโยธา ว่าการผลิตดินปืนจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว โอกาสออกจากวังเช่นนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ที่ใดควรไปก็ต้องไปสักหน่อย
อินจ้งลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
“กระหม่อมน้อมส่งเสด็จ”
เย่จิ่งอวี้พยักหน้าและนำกลุ่มทหารองครักษ์ออกจากจวนไป
จนกระทั่งเย่จิ่งอวี้จากไป ทุกคนก็หันกลับเข้ามาในเรือน
อินจ้งแทบรอไม่ไหวที่จะเข้าไปอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง
“ให้ตาดูเร็วเข้า”
เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมา คว้าชายเสื้อของอินจ้ง จ้องมองเขาด้วยดวงตาใสแจ๋ว
“ไม่เจอกันไม่เท่าไหร่ก็จำตาไม่ได้แล้วรึ”
อินจ้งหัวเราะฮ่าๆ และลูบปลายจมูกของเสี่ยวหนานเฟิง
ซูหมิงหลานที่อยู่ข้างๆ ก็อยากอุ้มเด็กเช่นกัน แต่เมื่อเห็นอินชิงเสวียนไม่คุยกับนาง จึงปิดปากเงียบ
ทุกคนกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง อินชิงเสวียนได้รับเชิญให้นั่ง
นางมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “พี่รองของข้าล่ะเจ้าคะ ไม่อยู่ในจวนหรือ”
อินจ้งพูดด้วยรอยยิ้มว่า “น้องหญิงเลก็กของเจ้าอยากออกไปเดินเล่น พี่รองเจ้าจึงพานางออกไป”
ทันทีที่อินจ้งพูดจบ เสียงใสๆ ก็ดังมาจากด้านนอก
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว พี่รองซื้อขนมน้ำตาลปั้นให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ”
เด็กสาวตัวน้อยอายุราวๆ สิบสามสิบสี่ปีวิ่งเข้ามาจากด้านนอก เค้าโครงใบหน้าดูละม้ายคล้ายกับซูหมิงหลานอยู่หลายส่วน คางแหลมเล็กน้อย ดวงตากลมโต หน้าตาน่าชม เพียงแต่นางดูผ่ายผอม เหมือนคนขาดสารอาหารอยู่บ้าง
ซูหมิงหลานดุนางทันที
“เบี้ยรายเดือนของพี่รองกับท่านพ่อเจ้ายังไม่มีเลย เจ้าจะใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายได้อย่างไร”
นางถลึงมองลูกสาวด้วยสายตาดุๆ และพูดว่า “ยังไม่รีบถวายพระพรหวงกุ้ยเฟยอีกรึ”
จากนั้นอินจื่อลั่วก็เห็นหญิงสาวสวยสวมเสื้อผ้าดีๆ นั่งอยู่ในห้องโถง
นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตะโกนอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้วจริงๆ”
หลังจากพูดจบ นางก็รีบวิ่งไปหาอินชิงเสวียนอย่างดีใจ
“จื่อลั่ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...