“ไม่ต้องร้องไห้แล้วเจ้าค่ะ เราผ่านความยากลำบากมาแล้ว”
อินชิงเสวียนจับมืออันหยาบกร้านของซูหมิงหลานขึ้นมา และตบเบาๆ
ซูหมิงหลานยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาของนาง แต่น้ำตาหยดใหม่ก็ไหลอาบหน้าทันที
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำลายบรรยากาศนะ จริงๆ แล้ว...จริงๆ แล้ว...”
ซูหมิงหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดอย่างยากลำบาก “ข้าคิดว่าเจ้าทุ่มเทเพื่อตระกูลอินมากเกินไป เดิมทีเจ้าไม่ชอบฝ่าบาท แต่เจ้าต้องทนความยากลำบากในวังเพื่อครอบครัวของเรา ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงเรื่องนั้น ก็จะรู้สึกเสียใจมาก แม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของข้า แต่ข้าก็ปฏิบัติต่อเจ้าไม่ต่างจากจื่อลั่ว ความลำบากของเจ้าที่อยู่ในวัง ข้าย่อมรู้ดี”
หลังจากฟังคำพูดของซูหมิงหลานแล้ว อินชิงเสวียนก็รู้สึกตกตะลึงไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี
มิน่าละตั้งแต่ที่ตัวเองเข้ามา นางก็มองตัวเองด้วยความสงสาร ที่แท้นางกำลังคิดเช่นนี้อยู่นี่เอง
แต่นางไม่รู้ว่าตัวเองที่เป็นในวังมีชีวิตเหมือนปลาที่อยู่ในน้ำ จะมีความลำบากอะไร ไม่ต้องพูดถึงการได้รับความรักจากหนึ่งบุรุษที่ทุกคนใฝ่ฝัน ก็แทบเพียงพอให้อยู่อย่างสบายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น นางยังชอบเย่จิ่งอวี้อีกด้วย
ไม่ว่าในแง่ของรูปลักษณ์ อุปนิสัย หรือความกล้าหาญชาญชัย เย่จิ่งอวี้ล้วนมีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร
แม้ว่าเขาจะเป็นกษัตริย์ แต่เขาก็เต็มใจที่จะคิดเผื่อนาง ยังสามารถให้ความสำคัญกับนางอย่างที่สูง ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ยากมากแม้แต่ในยุคปัจจุบันก็ตาม
ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่ชอบรูปลักษณ์ภายนอกที่ดี แต่ที่อินชิงเสวียนชอบเขา กลับไม่ใช่เพราะหน้าตาของเขา
คลับคล้ายคลับคลาว่าจะได้ยินเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวานว่า “ข้าต้องการให้นักเรียนที่ยากจนทุกคนจากทั่วแผ่นดิน เข้าร่วมการสอบเคอจวี่” หรือบางทีก็เห็นเขาเขียนตัวทั้งสี่ตัวว่า “ข้าวดีที่สุด” ด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่ง
และประโยคที่ว่า “ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่!”
ตอนนี้พอมานึกดูแล้ว ไม่ว่าคำพูดใดของเย่จิ่งอวี้ อินชิงเสวียนล้วนจำทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
ถ้านี่ไม่ใช่ความรักแล้วมันคืออะไร
เมื่อนึกถึงใบหน้าที่หล่อเหลานั้น มุมปากของอินชิงเสวียนก็ยกขึ้นเล็กน้อย หากพูดด้วยคำโบราณก็จะพูดได้ว่า ความรักไม่รู้ว่าเริ่มต้นจากตรงไหน พอรู้อีกทีก็รักลึกซึ้งไปแล้ว
“ท่านแม่รองอย่าคิดมาก ข้าไม่รู้สึกอะไรกับเย่จิ่งเย่ามานานแล้ว ในสายตาข้า เขาเป็นคนชั่วช้า จะเทียบกับฝ่าบาทได้อย่างไร”
เมื่อนางพูดถึงคำว่าฝ่าบาท ดวงตาของอินชิงเสวียนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซูหมิงหลานก็อึ้งไปสักพัก
“นี่เป็นเรื่องจริงหรือ”
อินชิงเสวียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ท่านแม่รองก็เห็นสิ่งที่ฝ่าบาททำเพื่อข้า ถ้าพวกเราไม่มีความรักต่อกัน แล้วเขาจะส่งข้ากลับจวนด้วยตนเองได้อย่างไร”
ซูหมิงหลานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าอย่างแรง
เรื่องนี้ก็จริง นางสนมที่แต่งงานแล้วมีเพียงไม่กี่คนสามารถกลับบ้านได้ เย่จิ่งอวี้ไม่เพียงแต่มาส่งอินชิงเสวียนกลับด้วยตนเองเท่านั้น แต่ยังจัดขบวนมาอย่างเอิกเกริก เห็นชัดว่าเขาให้ความสำคัญกับนางมาก
“เจ้าคิดเช่นนั้นจริงก็ดีมากแล้ว ก่อนที่ฝ่าบาทจะเสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ถูกเรียกว่าท่านอ๋องห้างาม ไม่ว่ารูปลักษณ์ อุปนิสัย หรือความสามารถ ล้วนอยู่เหนือกว่าอันผิงอ๋อง อีกอย่างข้ายังได้ยินมาว่า...อันผิงอ๋องเพิ่งเสียชีวิตเมื่อไม่กี่วันก่อน”
อินชิงเสวียนกล่าวอย่างสงบ “ความอยุติธรรมถึงวาระที่จะถูกทำลาย เขาตาบก็สมควรแล้ว เพียงแต่เสียดายเจียงซิ่วหนิง ข้าได้ยินมาว่านางไปบวชชีที่วัดสุ่ยจิ้ง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ อินชิงเสวียนก็จำสิ่งที่เย่จั้นเคยพูดได้ ว่าอินหลีก็บวชชีที่วัดสุ่ยจิ้งเช่นกัน จึงอดไม่ได้ที่จะถาม “ข้ายังมีท่านอาที่อายุมากกว่าข้าไม่กี่ปีใช่หรือไม่ ได้ยินมาว่าไปจำศีลตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ ต่อมาก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ท่านแม่รองรู้เหตุผลหรือไม่”
ซูหมิงหลานส่ายศีรษะ
“ข้าก็เคยได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน แต่พ่อของเจ้าไม่ค่อยได้พูดถึง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เต็มใจให้คนถามมากๆ ด้วย รายละเอียดที่แน่ชัดเป็นอย่างไรนั้น ข้าก็ไม่รู้”
ขณะที่พูด อินจื่อลั่วก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอก ถือผ้าเช็ดหน้าที่ปักด้วยดอกโบตั๋นอันงดงาม
“ท่านพี่เจ้าคะ ท่านแม่ปักผ้าผืนนี้ให้ท่าน สวยมากเลย ท่านพี่ลองดูเร็ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...