ณ เจียงวู
การกลับมาของอาซือหลาน ทำให้ชาวเจียงวูรู้สึกคึกคักเป็นพิเศษ
เมื่อเห็นข้าราชบริพารทั้งหมดหลั่งไหลเข้ามาในกระโจมของอาซือหลาน ราชาเผ่าอูเอินก็เผยรอยยิ้มขมขื่น
เขาไม่มีความทะเยอทะยานตั้งแต่แรก ถ้าเขาไม่ใช่โอรสสายตรง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ ไม่ว่าใครจะถูกฆ่าหรือบาดเจ็บ เขาก็เสียใจไม่แพ้กัน
แม้แต่ทหารของต้าโจว ก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยพ่อแม่ของพวกเขา หากไม่มีความขัดแย้งระหว่างสองขั้วอำนาจ พวกเขาคงไม่ต้องหลั่งเลือดรดดินแดนนี้เลย
แม้ตัวเองจะได้ชื่อว่าเป็นราชาเผ่า แต่ก็ยังเป็นหุ่นเชิดที่ควบคุมโดยผู้อื่น พวกเขาไม่เพียงควบคุมอินสิงอวิ๋นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเป่าเล่อเอ่อร์ด้วย
เมื่อคิดถึงเด็กในท้องของเป่าเล่อเอ่อร์ อูเอินก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น
จูอวี้เหยียนวางยาพิษในอาหารของพวกเขาโดยตลอด ตัวเองรู้อยู่เต็มอกแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าน้องเล็กรู้ว่าเด็กไม่สามารถเกิดมาได้ นางคงจะเสียใจอย่างยิ่ง
เมื่อนึกถึงตรงนี้ อูเอินก็รู้สึกทั้งเกลียดชังและขุ่นเคือง
เขาตัดสินใจพูดคุยดีๆ กับอาซือหลาน
หากอาซือหลานต้องการบัลลังก์ เขาก็สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ทุกเมื่อ ตัวเองหวังแค่ว่าพวกเขาจะไม่ทำร้ายน้องสาว
รอจนถึงพระอาทิตย์ตก จำนวนผู้คนในกระโจมของอาซือหลานค่อยๆ ลดน้อยลง อูเอินหายใจเข้าลึกๆ เปิดม่านแล้วเข้าไปในกระโจม
อาซือหลานถอดเสื้อคลุมสีม่วงออก แล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมสีเขียวเข้ม
งานปักอันวิจิตรบรรจงนั้น เพียงมองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นของที่มาจากต้าโจว
เมื่อเห็นอูเอิน เขาก็ลุกขึ้นจากเบาะนั่งที่ทำจากหนังเสือ วางมือขวาบนไหล่ซ้ายแล้วโค้งคำนับตามแบบฉบับชาวเจียงวู
“น้องชายขอถวายพระพรราชาเผ่า”
สีหน้าของอูเอินดูดีขึ้นมาก
“น้องข้าไม่ต้องมากพิธี”
เขานั่งข้างๆ มองอาซือหลานแล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าคราวนี้น้องข้าจะอยู่นานแค่ไหน”
อาซือหลานเม้มริมฝีปากแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “น้องชายจะช่วยเสด็จพี่ปราบปรามด่านถงกู่ และเดินทัพสู่เมืองหลวงโดยตรง”
อูเอินขมวดคิ้ว
“น้องข้ามีอำนาจและความสามารถในการปกครองเจียงวูอย่างเต็มที่ เหตุใดต้องให้พี่เป็นตัวแทนด้วยเล่า”
อาซือหลานเหลือบมองเขาด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“เสด็จพี่เป็นโอรสสายตรง ดังนั้นจึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนั่งในตำแหน่งนี้”
อูเอินพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “น้องข้าน่าจะรู้ว่าข้าไม่มีปณิธานเช่นนี้ และไม่มีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แล้วเหตุใดต้องทำให้ยุ่งยากด้วย”
อาซือหลานโคลงศีรษะ
“บัลลังก์ของท่านสืบทอดมาจากราชาองค์ก่อน แล้วข้าจะเข้ามาแทนที่ได้อย่างไร”
เขามองไปที่อูเอิน รอยยิ้มยิ่งดูสดใสขึ้น
“มือของข้าเปื้อนเลือดเหล่าบรรดาพี่น้องมากมาย ไม่อยากทำให้เปื้อนเลือดของพี่ใหญ่อีก”
เมื่อนึกถึงสภาพแวดล้อมที่อาซือหลานเติบโตขึ้นมา อูเอินก็เม้มริมฝีปาก
“ต่อจากนี้ไปเรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก ต่อให้ข้ามีลูก ข้าก็จะไม่ปล่อยให้พวกเขาฆ่าฟันกันเอง”
อาซือหลานพูดอย่างไม่อินังขังขอบ “เรื่องนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร การอยู่รอดของผู้แข็งแกร่งเป็นกฎของโลกเสมอ หากพี่ใหญ่อ่อนแอไม่เด็ดขาดเช่นนี้ จะนำเจียงวูออกจากเมืองเล็กๆ นี้ได้อย่างไร”
อูเอินกำหมัดแน่น ก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ข้าแค่หวังว่าเป่าเล่อเอ่อร์จะปลอดภัย ข้าหวังว่าเจ้าจะปล่อยนางไป นางยังไร้เดียงสา”
อาซือหลานแค่นเสียงหึเบาๆ
“ในฐานะราชวงศ์ จะมีความไร้เดียงสาอะไร ถ้าราชาเผ่าไม่ต้องการให้นางเข้ามาเกี่ยวข้อง เหตุใดถึงยอมให้นางแต่งงานกับอินสิงอวิ๋นล่ะ”
อูเอินกล่าวว่า “อินสิงอวิ๋นสูญเสียความทรงจำ ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อเราแล้ว หากเจ้าเต็มใจ ข้าก็จะขับไล่พวกเขาออกจากเจียงวู ปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตของตัวเอง”
อาซือหลานหยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมา แล้วจิบด้วยท่วงท่าสง่างาม ยิ้มเยาะ “สายไปแล้ว ตอนนี้ได้เข้าสู่สนามแล้ว จะถอยกลับได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะความเห็นแก่ตัวของพี่ใหญ่ ข้าก็ปล่อยเบี้ยดีๆ ตัวนี้ไปไม่ได้”
“แล้วต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมปล่อยเป่าเล่อเอ่อร์ไป นางตั้งครรภ์แล้ว”
อูเอินยืนขึ้นอย่างอดทนไม่ไหว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...