อินชิงเสวียนยกมือขึ้นปิดหน้าผาก เบิกตากว้างด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
“ไม่มีเพคะ”
เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ พูดอย่างมีความสุข “ไม่ก็ไม่ ถือว่าข้าเดาผิดไปเอง”
เขาเอื้อมมือออกไปอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา เสี่ยวหนานเฟิงก็รีบชี้ไปที่ตู้หนังสือทันที
“เด็กขนาดนี้ก็อยากเรียนหนังสือแล้วรึ”
เย่จิ่งอวี้หยิบพู่กันออกมา แล้วส่งให้เสี่ยวหนานเฟิง
เสี่ยวหนานเฟิงอ้าปากจะกัด แต่อินชิงเสวียนรีบแย่งออกไปก่อน
พูดอย่างค้อนๆ “ฝ่าบาทตามใจเขามากเกินไปแล้ว”
เย่จิ่งอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรต่อจากนี้ไปทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของเขา”
เสี่ยวหนานเฟิงที่ถูกแย่งพู่กันไป แสดงสีหน้าไม่มีความสุข คิ้วเล็กจ้อยขมวดมุ่นทันที
“เอา~”
เขายื่นมือป้อมๆ ออกมา แล้วกระดกปากสีชมพูนุ่มนิ่มขึ้น ใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความจริงจัง
อินชิงเสวียนตีหลังมือของเขาเบาๆ
“ห้ามเอาแต่ใจ”
ทันใดนั้นเสี่ยวหนานเฟิงก็รู้สึกเสียใจ มุมปากคว่ำลงทันที ขอบตาแดงก่ำจากการกลั้นน้ำตา
เมื่อเห็นว่าลูกชายเสียใจ เย่จิ่งอวี้ก็หยิบพู่กันอีกด้ามออกมา
กล่าวด้วยสีหน้ารักใคร่ลุ่มหลงว่า “เล่นได้สิ แต่กัดไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”
เสี่ยวหนานเฟิงยิ้มร่าทันที มือน้อยถือพู่กันโบกไปมา
“บิน~บิน~”
อินชิงเสวียนอ่อนอกอ่อนใจ มีพ่อที่ตามใจลูกเช่นนี้ ลูกจะโตมาเป็นคนอย่างไร
นางต้องหาโอกาสอธิบายเหตุผลกับเย่จิ่งอวี้ เด็กเป็นเพียงต้นกล้า ต้องอบรมบ่มเพาะให้ดี ถึงจะเติบโตได้ตรงไม่นอกลู่นอกทาง
แต่พอมาคิดดูอีกที เสี่ยวหนานเฟิงก็อายุเพียงไม่กี่เดือน ต่อให้ต้องอบรม แต่ก็ต้องให้อายุถึงห้าขวบก่อน ถึงพอจะเข้าใจได้บ้าง
เมื่อคิดว่าในอนาคตลูกชายต้องเป็นเหมือนเย่จิ่งอวี้ ที่ต้องตื่นมาตรวจฎีกาตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน จู่ๆ อินชิงเสวียนก็รู้สึกเศร้าใจ
แต่ถ้าหากไม่เป็นฮ่องเต้ ก็จะตกเป็นเป้าหมายของคนอื่น เมื่อชั่งน้ำหนักดูทั้งสองเรื่องแล้ว การมีอำนาจอยู่ในมือย่อมดีกว่า
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนหรี่ตาครุ่นคิด เย่จิ่งอวี้ก็ถามอย่างสงสัย “เสวียนเอ๋อร์คิดอะไรอยู่รึ”
อินชิงเสวียนไม่กล้าพูดว่าอนาคตนางต้องการให้ลูกชายเป็นฮ่องเต้ เพราะการพูดเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นกบฏ
นางไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “หม่อมฉันกำลังคิดจะเรื่องการทำกระดาษอยู่เพคะ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เย่จิ่งอวี้จูบแก้มเล็กๆ ของลูกชายและพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ข้าให้เสนาบดีกรมโยธาดูแลงานนี้แล้ว การทำกระดาษใช้วัสดุที่เรียบง่าย วิธีการก็ไม่ซับซ้อน น่าจะง่ายกว่าการทำดินปืนมาก”
อินชิงเสวียนพยักหน้า
“เรื่องดินปืนไม่อาจล่าช้าได้ แม้ว่าจะยึดเจียงวูคืนมาได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าที่อื่นจะสงบสุขด้วย มีเก็บไว้บ้างก็สามารถใช้เป็นอำนาจต่อรองได้”
“ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน พอมานับวันดูแล้ว รองแม่ทัพของเสด็จอาน่าจะไปเมืองซุ่ยหานแล้ว ไม่รู้ว่าสถานการณ์การรบที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้ว แสดงความกังวลเล็กน้อย
อินชิงเสวียนกล่าวด้วยความโล่งใจ “มีดินปืนช่วย ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี อีกทั้งรองแม่ทัพของท่านอ๋องก็เป็นคนที่มีประสบการณ์การต่อสู้มาหลายสนาม ในเมืองซุ่ยหานไม่น่าจะมีเหตุร้ายอะไร ตอนนี้หม่อมฉันกังวลแค่เรื่องเจียงวูเท่านั้น ถ้าอาซือหลานกลับไปจริง จะต้องใช้กลอุบายอีกเป็นแน่”
“บิดาของเจ้าก็กริศึกมานาน ทั้งยังสู้รบกับเจียงวูมากกว่าหนึ่งครั้ง ข้ากลับไม่รู้สึกกังวลนัก สิ่งเดียวที่ทำให้ข้ากังวลคือพี่ใหญ่ของเสวียนเอ๋อร์ยังคงอยู่ในมือของพวกเขา สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ชัดเจน และจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป คาดเดาไม่ได้จริงๆ”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ของอินสิงอวิ๋นเป็นอย่างไร ทำได้เพียงรอให้เจียงวูส่งจดหมายกลับก่อน ถึงจะตัดสินใจได้
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนรู้สึกย่ำแย่ เย่จิ่งอวี้ก็ทนไม่ไหว
“อย่าคิดมาก ไปเยี่ยมเสด็จอากับข้าดีกว่า”
“เพคะ”
แล้วอินชิงเสวียนก็อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงเข้าไปนั่งในรถเข็นเด็ก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...