จูอวี้เหยียนดีใจ ไม่คิดว่าอินชิงเสวียนจะรู้จักตัวเองด้วย ไม่นับว่าเป็นคนไร้ค่า
“ทูลพระนางกุ้ยเฟย พวกหม่อมฉันล้วนเป็นทาสหญิงของเจียงวู ไม่รู้เรื่องพิษกู่ เหนียงเหนียงโปรดอภัยด้วย”
อินชิงเสวียนกวาดตามองจูอวี้เหยียน ทาสหญิงผู้นี้มีท่าทางเจ้าเล่ห์ราวหมาป่า อีกทั้งยังพูดโน้มน้าวจิตใจคนเก่ง รู้จักการรับมือได้ดี ไม่เหมือนสาวรับใช้ทั่วไป เมื่อเห็นตื่นตกใจ แต่กลับมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว
“เช่นนั้นเจ้ารู้อะไรบ้าง เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
อินชิงเสวียนน้ำเสียงราบเรียบ ท่าทีนิ่งขรึม ลักษณะเรียบร้อย ค่อนข้างสง่างามเหมือนผู้เหนือหัว
จูอวี้เหยียนพูดเสียงเรียบ “หม่อมฉันรู้มากเท่านี้แหละเพคะ ได้ยินว่าเหนียงเหนียงไม่ยอมพบพวกเรา หม่อมฉันจึงพูดชื่อของแม่ทัพน้อยอิน”
อินชิงเสวียนกวาดตามองนางและถามอีกว่า
“ท่านอ๋องอาซือหลานของพวกเจ้า ตอนนี้ยังอยู่ในเจียงวูหรือไม่?”
จูอวี้เหยียนพูด “อยู่ที่เจียงวูเพคะ พระนางกุ้ยเฟยรู้จักท่านอ๋องของพวกเราด้วยหรือ?”
อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงหยามเหยียด “คนต่ำทรามประเภทนั้น ไม่คู่ควรมารู้จักกับข้าหรอก ในเมื่อพวกเจ้านำของมาให้ข้าเรียบร้อยแล้วก็ออกไปเถอะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว ข้าเองก็เหนื่อยเช่นกัน”
จูอวี้เหยียนพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนแอ้น “เช่นนั้นพวกหม่อมฉันขอทูลลาเพคะ วันพรุ่งนี้ค่อยมาเข้าเฝ้าพระนางกุ้ยเฟยใหม่”
เมื่อพวกเขาไปแล้ว อินชิงเสวียนก็เริ่มใช้ความคิด
ในสมัยโบราณ ประเทศที่แพ้สงครามจะถวายวัวแพะและหญิงงามเป็นเรื่องปกติ แต่หากเป็นเจียงวู อดไม่ได้ที่จะต้องคิดให้มากขึ้น
อาซือหลานเจ้าเล่ห์ มีแผนการลึกซึ้ง จึงจำเป็นต้องระวังคนที่เขาส่งมา
แม้อินชิงเสวียนยังไม่มีผู้มีวิชาการต่อสู้ยอดเยี่ยมอยู่ในมือ แต่นางมีเทคโนโลยีระดับสูง ขอเพียงติดตั้งชุดกล้องวงจรปิดที่สามารถได้ยินเสียงในที่อยู่อาศัยของพวกนาง ก็จะเห็นทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อินชิงเสวียนก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก
วันถัดมา
อินชิงเสวียนแอบกระซิบเสี่ยวอานจื่อ และกำชับว่า “ไปเชิญแม่นางที่เพิ่งเข้าวังมาทั้งหมด ข้าจะเชิญพวกนางมาชิมอาหารเลิศรสของต้าโจว”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
หลังจากเสี่ยวอานจื่อไปแล้ว อวิ๋นฉ่ายก็ถามว่า “พระสนม พวกเราจะเตรียมอาหารอะไรให้พวกนางเพคะ?”
อินชิงเสวียนถือพัดโบราณไว้ในมือ และพูดอย่างเชื่องช้าว่า “พริกผัด พริกตุ๋น ยำพริก ซาลาเปาพริกทอด จัดแต่งจานให้ดูดีเสียหน่อย เพื่อไม่ให้คนกลุ่มนี้หัวเราะเยาะเอาได้”
อวิ๋นฉ่ายขำพรวดออกมา “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันจะไปทำเดี๋ยวนี้เลยเพคะ”
อินชิงเสวียนหยิบแว่นตากันทรายออกมาหนึ่งอัน
“ใส่สิ่งนี้ไว้ จะได้ไม่ทรมานดวงตา”
อวิ๋นฉ่ายสวมแว่นตา และอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
“มีของแบบนี้อยู่บนโลกด้วยหรือเพคะ ขอบพระทัยพระสนม”
เมื่อมองเงาหลังของอวิ๋นฉ่าย อินชิงเสวียนก็หัวเราะอย่างเงียบๆ และเอนกายนอนลงเก้าอี้โยกอย่างสบายใจ
จูอวี้เหยียนกำลังพักผ่อนอยู่ในตำหนัก เมื่อได้ยินว่าอินชิงเสวียนเรียกพวกนางไปทานอาหาร จึงอดคิดมากไม่ได้
หรือว่าอินชิงเสวียนต้องการลองเชิงนาง?
นอกจากชาวเจียงวู จูอวี้เหยียนกล้ารับประกันว่าไม่มีใครรู้จักตัวเองอีกแล้ว อินชิงเสวียนก็ไม่มีทางรู้จักนางแน่นอน การที่ตามตัวนางไป อย่างมากก็เพื่อสืบหาข่าวของพิษกู่
อย่างไรก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว เล่นสนุกกับผู้หญิงคนนี้เสียหน่อย ถือเป็นการฆ่าเวลา
รอให้พิษกู่รวมเข้ากับเส้นเลือดของเย่จิ่งอวี้เสียก่อน ค่อยจัดการกับอินชิงเสวียนก็ยังไม่สาย
เมื่อนึกได้เช่นนี้ จูอวี้เหยียนก็หัวเราะอย่างภาคภูมิใจ
นางแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็น เย่จิ่งอวี้ออกคำสั่งประหารชีวิตอินชิงเสวียนด้วยตัวเอง นางจะทำสีหน้าอย่างไรกันนะ?
“ไปบอกขันทีน้อยของราชวงศ์โจว พวกเราเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน และจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...