สองพ่อลูกเล่นสนุกกันกว่าหนึ่งชั่วยาม เสี่ยวหนานเฟิงก็เริ่มขยี้ตา
เมื่อเห็นลูกชายง่วงนอน อินชิงเสวียนก็รีบอุ้มไปกล่อมนอน เมื่อมองกูลูกชายที่เติบโตอวบอ้วนมากขึ้น อินชิงเสวียนใช้แรงในการอุ้มอย่างมาก เย่จิ่งอวี้จึงรับเจ้าเด็กอ้วนมาอุ้มไว้
“ข้าจะเล่านิทานให้เข้าฟัง เสวียนเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว”
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สองพ่อลูกจะได้ใกล้ชิดกัน อินชิงเสวียนก็รู้สึกดีใจและผ่อนคลายมาก นางเห็นว่าเย่จิ่งอวี้อุ้มจ้าวเอ๋อร์วางลงบนขา และพูดราวกับกำลังสวดมนต์ “ในอดีตมีภูเขาอยู่หนึ่งลูก บนภูเขามีวัดแห่งหนึ่ง มีพระชราและพระเด็กอยู่ในวัด พระชราพูดกับพระเด็กว่า ในอดีตมีภูเขาอยู่หนึ่งลูก บนภูเขามีวัดแห่งหนึ่ง...”
อินชิงเสวียนไร้คำจะพูด คิดว่าตอนเด็กๆ เย่จิ่งอวี้คงได้ฟังนิทานแบบนี้มาก่อน ช่างทรมานคนฟังเสียจริง
เมื่อฟังวนสองรอบ ก็ทนต่อไปไม่ไหว จึงพิงลงที่ขอบเตียงและหลับไป
ระหว่างที่กำลังสะลึมสะลือก็รู้สึกเหมือนมีคนมาอุ้มตัวเอง และวางลงบนหมอนเบาๆ
อินชิงเสวียนเบิกตากว้าง ก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่มีกรอบหน้าชัดเจนทันที
“ฝ่าบาท...”
เย่จิ่งอวี้ห่มผ้า และพูดราวกับกำลังปลอบลูก “เป็นเด็กดีนะ รีบนอนได้แล้ว หลายวันนี้เสวียนเอ๋อร์คงเหนื่อยมากแน่เลย”
อินชิงเสวียนเบิกดวงตาที่กำลังปรือ และถามด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “ฝ่าบาทไม่มีเรื่องที่อยากถามหม่อมฉันหรือเพคะ?”
เย่จิ่งอวี้กอดนางไว้ และพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าไม่รีบร้อน”
อินชิงเสวียนซุกหน้าลงที่หน้าอกของเขา และพูดราวกับกำลังละเมอ “สถานที่ที่หม่อมฉันให้ฝ่าบาทพักคือมิติอิสระแห่งหนึ่ง หม่อมฉันได้รับมิตินี้มาโดยบังเอิญ ก่อนหน้านี้ข้าวและแป้งสาลีต่างก็ได้มาจากมิติทั้งหมด หม่อมฉันไม่ได้รู้จักพ่อค้าอะไรเลย เพราะหม่อมฉันโกหกฝ่าบาทเพคะ”
เย่จิ่งอวี้หันหน้ามา และจูบเบาๆ ลงบนหน้าผากที่เรียบเนียนหนึ่งที
พร้อมพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ข้ารู้นานแล้วว่าไม่มีพ่อค้าอยู่จริงๆ หากมีแคว้นที่น่าอัศจรรย์อย่างฮว๋าเซี่ยอยู่จริงๆ ข้าต้องเคยได้ยินแน่นอน”
อินชิงเสวียนพูดพึมพำว่า “เรื่องนี้หม่อมฉันไม่ได้โกหกฝ่าบาทเพคะ ฮว๋าเซี่ยมีอยู่จริงๆ...”
เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความรักและเอ็นดู “เอาล่ะ ข้าเชื่อเจ้า”
เมื่อก้มศีรษะลง อินชิงเสวียนก็ผล็อยหลับไปแล้ว
เมื่อมองคิ้วงามที่ขมวดแน่นของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกปวดใจ จึงยื่นนิ้วออกมาบีบนวดที่ระหว่างหัวคิ้วให้นางเบาๆ
เมื่อคิ้วหัวคิ้วที่คล้ายจันทร์ครึ่งเสี้ยวคลายออกช้าๆ เย่จิ่งอวี้ก็ค่อยๆ หลับตาลง
วันถัดมา
อินชิงเสวียนลืมตาขึ้น และสบตากับนัยน์ตาสีดำสนิท นางตกใจอย่างมาก จึงรีบหดตัวกลับทันที
นางจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ที่จับคางด้วยมือเดียวและจ้องมองที่ตัวเองไม่ใช่ใครอื่น ผู้นั้นคือเย่จิ่งอวี้
“วันนี้เป็นวันหยุดอาบน้ำ ข้าจะอยู่กับเจ้า”
เมื่อเห็นว่าขาของตัวเองยังเกาะอยู่ที่เอวของเย่จิ่งอวี้ สีหน้าของอินชิงเสวียนก็แดงระเรื่อเล็กน้อย และรีบลุกปีนขึ้นมา
“ฝ่าบาทคงหิวแล้ว หม่อมฉันจะให้พวกนางเตรียมมื้อเช้าให้ฝ่าบาทเดี๋ยวนี้เลยเพคะ”
“ข้าไม่รีบ”
เย่จิ่งอวี้โอบเอวบางที่นุ่มนิ่มของอินชิงเสวียน และดึงตัวนางเข้ามากอด
“เจ้าเคยได้ยินคำว่าสวยจนอยากกลืนกินหรือไม่ ข้าได้มองเสวียนเอ๋อร์ก็พอแล้ว”
เย่จิ่งอวี้ก้มหน้ามองนาง พูดด้วยรอยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม
เมื่อเห็นสายตาที่ดูคลุมเครือครู่นั้น สองแก้มของอินชิงเสวียนก็แดงมากยิ่งขึ้น จึงรีบผลักเขาออก
“คนโบราณกล่าวว่า เวลาเช้าห้ามทำสิ่งอนาจาร ฝ่าบาทลืมแล้วหรือเพคะ?”
เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ
“ข้าคิดสกปรกที่ไหนกัน ข้าเพียงแค่อยากใช้เวลากับเสวียนเอ๋อร์ให้มากขึ้น เมื่อก่อนที่ประชุมราชกิจเช้า ข้าตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ข้ายังไม่เคยเห็นลักษณะท่าทางของเสวียนเอ๋อร์ตอนตื่นนอน ที่แท้ก็น่ารักแบบนี้นี่เอง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...