คุกหลวง
ชายตัวเตี้ยถูกมัดร่างไว้กับเสาหิน แล้วใช้แส้จุ่มน้ำเกลือโบยจนผิวหนังปริแตก
ไม่มีใครทนต่อแส้หนังนี้ได้ ชายร่างเตี้ยส่งภาษาด้วยความเจ็บปวด พลางผรุสวาทไม่หยุด อย่างไรก็ตาม เขาพูดได้เพียงภาษานกกา ไม่สามารถสื่อสารได้เลย
เย่จิ่งอวี้มองเขาด้วยสีหน้ามืดมน ถามอย่างเย็นชา “เจ้าพูดภาษจงหยวนเราได้หรือไม่ ทำไมถึงต้องการลอบสังหารเสวียนเอ๋อร์”
ชายตัวเตี้ยพูดพล่าม เหมือนจะได้ยินคำว่าบากะอยู่เรื่อยๆ
เย่จิ่งอวี้หันหน้าไปทางอินชิงเสวียน
“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
อินชิงเสวียนส่ายศีรษะ
“หม่อมฉันรู้แค่ว่าเขากำลังด่าคน แต่ที่เหลือก็ไม่เข้าใจ”
เย่จิ่งอวี้ถามอีกครั้ง “แล้วเสวียนเอ๋อร์รู้จักคนเหล่านี้หรือไม่”
“ไม่รู้จักเพคะ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบพวกเขา”
อินชิงเสวียนรู้สึกแปลกใจกับความอาฆาตพยาบาทของพวกเขา
คนเหล่านี้ตรงมาหาตัวเองด้วยเจตนาที่ชัดเจน แต่ตัวเองก็ไม่เคยไปล่วงเกินใคร น่าแปลกจริงๆ
สิบห้านาทีต่อมา ชายร่างเตี้ยถูกทุบตีจนผิวหนังถูกฉีกขาด เนื้อตัวชุ่มเลือด และหมดสติไป
ผู้คุมสาดน้ำเย็นใส่ และเริ่มโบยอีก เย่จิ่งอวี้ไม่ต้องการให้อินชิงเสวียนเห็นฉากที่โหดร้ายเหล่านี้ เขาจึงพานางออกจากคุกหลวง
“เสวียนเอ๋อร์ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้เช้าตอนประชุมเช้า ข้าจะถามว่ามีใครเข้าใจภาษานกกาหรือไม่ ตราบใดที่สามารถสื่อสารได้ เราก็สามารถสืบหาความจริงได้”
เมื่อเห็นสีหน้าที่ตึงเครียดของเย่จิ่งอวี้ อินชิงเสวียนก็ยิ้มละไม
“ฝ่าบาทไม่ต้องกังวล ตอนนี้คนถูกจับได้แล้ว ไม่ช้าก็เร็วคงทราบผล ยิ่งกว่านั้นหม่อมฉันยังมีความสามารถในการปกป้องตนเอง ถ้าพวกเขาคิดจะทำอะไรกับหม่อมฉันไม่ใช่เรื่องง่าย”
เรียวตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้ฉายแววเย็นชา เอ่ยขึ้นว่า “พวกเราพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่จับได้เพียงคนเดียว ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ในเมืองหลวง พวกเขาก็เป็นภัยคุกคามต่อเสวียนเอ๋อร์อย่างมาก”
อินชิงเสวียนแสร้งทำตัวผ่อนคลาย พูดว่า “ในวังมียอดฝีมือมากมาย และมีองครักษ์เงาเยอะแยะ หม่อมฉันไม่กังวลอยู่แล้ว”
“แต่ข้ากังวล”
เย่จิ่งอวี้จับมืออินชิงเสวียน แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เสวียนเอ๋อร์และข้าได้ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน ข้าไม่อยากให้เสวียนเอ๋อร์เป็นอะไรไปอีก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เสวียนเอ๋อร์ไม่ต้องไปสำนักศึกษาหลวงอีกแล้ว”
อินชิงเสวียนกัดริมฝีปากล่าง
“แต่ว่า...หม่อมฉันยังสอนในสำนักศึกษาหลวงไม่จบบทเรียนเลย ยอมแพ้ครึ่งทางไม่ดีกระมัง”
เย่จิ่งอวี้กล่าวอย่างแน่วแน่ “เรื่องความรู้สามารถสอนภายหลังก็ได้ ความปลอดภัยของเสวียนเอ๋อร์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
เมื่อเห็นว่าเขาตัดสินใจแล้ว อินชิงเสวียนก็ได้แต่พยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามที่ฝ่าบาทบอก”
ขณะที่พูด ก็มาถึงตำหนักจินหวูแล้ว
เย่จิ่งอวี้หยุดเดิน
“ข้าจะไปหาเจวี๋ยอิ่ง แล้วจะกลับค่ำๆ”
“เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันกลับก่อน”
อินชิงเสวียนยอบการคารวะน้อยๆ แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในตำหนักจินหวู
เมื่อกลับมาถึงตำหนัก นางก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที
ทำไมคนเหล่านี้ถึงโจมตีนาง น่าแปลกเกินไปแล้ว
หรือพวกเขาจำคนผิด?
แต่คิดไปคิดมาก็ไม่น่าเป็นไปได้ สัญญาณเตือนก่อนหน้านี้ น่าจะหมายถึงว่ามีคนตามมา แม่นขนาดนี้ ก็ต้องมีเหตุผล
แค่เสียดายที่ไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นไว้บ้าง ไม่เช่นนั้นอาจจะสามารถเข้าใจได้บ้าง
ยังมีอีกประการหนึ่งที่อินชิงเสวียนไม่เข้าใจ
แคว้นเล็กๆ ที่อยู่รอบๆ แคว้นต้าโจวล้วนเป็นพวกชาวเผ่า ไม่เคยได้ยินเรื่องญี่ปุ่นมาก่อน คนเหล่านี้มาจากไหนกันแน่
อินชิงเสวียนนั่งครุ่นคิดบนเก้าอี้อยู่นาน แต่ไม่สามารถคิดหาเหตุผลได้ ดังนั้นนางจึงหยุดเปลืองสมอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...