ฝ่ามือทั้งสองประสานกันเสียงปัง พลังลมปราณไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากร่างกายของพวกเขา ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย
อินชิงเสวียนยกแขนเสื้อขึ้นปิดหน้าโดยสัญชาตญาณ
ข้างหน้า ชายในชุดสีน้ำเงินและอาซือหลานต่างก้าวถอยหลัง
ทันใดนั้นสีหน้าของอาซือหลานก็เปลี่ยนไป จากนั้นหัวเราะเบาๆ
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าคือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เย่จิ่งอวี้?”
ชายในเสื้อคลุมผ้าสีน้ำเงินไม่ได้สนใจอาซือหลาน เขาหันกลับมา มองสำรวจอินชิงเสวียนอย่างรวดเร็ว
“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
วันนี้ไม่มีธุระสำคัญ เย่จิ่งอวี้จึงเลิกประชุมเร็ว เมื่อกลับมาที่ตำหนักจินหวูก็เห็นว่าอินชิงเสวียนไม่อยู่ที่นั่น จึงรู้ทันทีว่านางต้องมาถึงจวนฝูอี้อ๋องแล้ว
เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับนาง เขาจึงเร่งรุดมาทันที
โชคดีที่ยังไม่สายเกินไป!
เมื่อมองดูเรียวตาหงส์ที่เป็นห่วงเป็นใยคู่นั้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกถึงความหวานล้ำในใจ
“หม่อมฉันไม่เป็นไร”
อาซือหลานหงุดหงิดที่ถูกละเลยด้วยเช่นนี้ เมื่อเห็นอินชิงเสวียนแสดงความรักลึกซึ้งต่อเย่จิ่งอวี้ ความโกรธในใจก็ระเบิดออกมา
เขาหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “ฮ่องเต้สุนัขแห่งต้าโจวช่างดีจริงๆ ในเมื่อเจ้ามารนหาที่ตายเอง ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
เย่จิ่งอวี้ค่อยๆ หันหน้ากลับมา ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาทันที
“งั้นเจ้าก็คืออาซือหลาน?”
เย่จิ่งอวี้ไม่เคยพบกับอาซือหลานมาก่อน แต่เขารู้สึกว่าชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าจะต้องเป็นเขาแน่ๆ
อาซือหลานก็ไม่ตอบเช่นกัน หุบพัดดังพรึ่บ แล้วก็วิ่งสวนเข้ามา
เย่จิ่งอวี้ทำขยับหลีก หลบพัดของอาซือหลานได้ แล้วซักฝ่ามือกลับใส่เขา
อาซือหลานแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา แล้วเหาะขึ้นไปในอากาศ ใช้นิ้วหัวแม่มือกดกลไกบนด้ามจับพัด แล้วกระดูกพัดอีกสองอันก็พุ่งออกมา
“ถ้าเจ้ามีความสามารถเท่านี้ ก็ตายซะ”
“พูดมาก”
เย่จิ่งอวี้ยกสองนิ้วขึ้น แล้วคีบกระดูกพัดเหล็กสองอันไว้ได้อย่างเหมาะเจาะ แล้วเตะข้อศอกของอาซือหลานด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
อาซือหลานตกใจมาก
ไม่นึกว่าฮ่องเต้น้อยแห่งต้าโจวจะมีวรยุทธ์ที่ร้ายกาจขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เคยประเมินศัตรูต่ำเกินไป
“วันนี้ข้าอยากเห็นนัก ว่าเจ้ามีความสามารถเท่าใดกันเชียว”
อาซือหลานเก็บด้ามพับ แล้วดึงดาบออกจากเอว
ดาบเล่มนี้กว้างประมาณสามนิ้ว ใบมีดโค้งเหมือนกงล้อพระจันทร์ รูปร่างเป็นเอกลักษณ์ นี่เป็นครั้งแรกที่อาซือหลานใช้ดาบวงพระจันทร์ดำ
สิ่งนี้มีความเจ็บปวดและความทรงจำมากเกินไป ตอนที่ดาบถูกปลดออก ดวงตาของอาซือหลานฉายแววซับซ้อน แต่เพียงครู่เดียวก็หายไป ก่อนที่แสงเย็นกระหายเลือดจะปรากฏขึ้นในแววตาแทน
เมื่อฮ่องเต้ออกจากวัง เป็นเรื่องดีที่ไม่ต้องร้องขอ หากวันนี้เจ้าสามารถจัดการได้ในคราวเดียว ก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าอินชิงเสวียนจะไปกับเขาหรือไม่
เย่จิ่งอวี้ไม่ประมาท เขาค่อยๆ ดึงกระบี่ยาวออกมา กำลังภายในก็ไหลเวียนไปทั่วร่างทันที ทำให้ชายเสื้อที่ปักลายกิเลนสะบัดพลิ้ว ท่วงท่าองอาจสง่างามอย่างยิ่ง
เรียวตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อย ภายในเงียบสงบราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง อันปราศจากระลอกคลื่นใดๆ แสดงให้เห็นอิริยาบถอันน่าครั่นคร้าม
เย่จิ่งหลานที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะดูด้วยความตื่นเต้น วรยุทธ์ที่เหคยเห็นก่อนหน้านี้ล้วนเป็นภาพที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ เป็นการใช้ลวดสลิง ซึ่งดูไม่สมจริงเลย
และคนสองคนตรงหน้าก็คือยอดฝีมือที่แท้จริง แม้แต่คนธรรมดาๆ เช่นเขา ก็สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่มองไม่เห็น
นี่อาจเป็นพลังชี่แท้ที่เขียนในนวนิยายกระมัง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่รู้วรยุทธ์ ไม่เช่นนั้นเขาก็สามารถขึ้นไปแสดงฝีมือกับคนอื่นเขาได้บ้าง
เมื่อนึกถึงการเคลื่อนไหวที่ว่องไวของอินชิงเสวียนเมื่อครู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาริษยา
ต่างก็ข้ามมิติมาเหมือนกันแท้ๆ มีมิติส่วนตัวเหมือนกัน แต่ทำไมมิติของเขากับมิติของนางถึงต่างกันมากขนาดนี้
เสียงโลหะกระทบกันขัดจังหวะความคิดของเย่จิ่งหลาน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...