อินชิงเสวียนออกจากเมืองหลวงแล้ว เวลาเพียงครึ่งเช้าก็ออกมาได้เกือบร้อยลี้แล้ว
เมื่อมองทิวทัศน์ที่แปลกตาไปตลอดทาง อินชิงเสวียนก็ร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆ หวังเพียงให้ถึงเป่ยไห่โดยไว
นางหยิบแผนที่ออกมา และเทียบดูอย่างละเอียด เพียงแค่เกลียดที่ยุคสมัยนี้ไม่มีอินเทอร์เน็ต แม้นางจะมีโทรศัพท์มือถือ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเปิดระบบนำทางได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องเปลืองแรงเช่นนี้
เย่จิ่งหลานกลับไม่ได้รีบร้อน เขาอยู่ในเมืองหลวงมานานมากพอแล้ว อยากออกมาดูโลกภายนอกบ้าง การออกมาวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ความรู้สึกดีใจยังไม่มลายหายไป
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนมองอย่างตั้งใจ เขาก็รีบเข้าไปประสมโรง
“เจ้าสิ่งนี้แม่นยำหรือไม่?”
สำหรับแผนที่ของยุคโบราณ เย่จิ่งหลานกลับไม่ได้คาดหวังมากนัก
อินชิงเสวียนพยักหน้าแล้วพูดว่า “เย่จั้นได้หาคนมาทดสอบหลายคนแล้ว น่าจะไม่มีปัญหา”
“นี่ก็ดูจากตำแหน่งขึ้นเหลือลงใต้เหมือนกันใช่หรือไม่?”
มือของเย่จิ่งหลานทำท่าทางบนม้วนหนังแกะ
“ถูกต้อง ตอนนี้พวกเรากำลังไปเส้นทางนี้อยู่ ตามเส้นทางนี้ไปด้านหน้า ก็จะไปถึงเป่ยไห่”
อินชิงเสวียนชี้เส้นทางให้เย่จิ่งหลานดู
“ต้องใช้เวลาประมาณไหน?”
เย่จิ่งหลานเหลือบมองและถาม
อินชิงเสวียนครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ดูจากความเร็วของพวกเรา อย่างไรก็ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์”
เย่จิ่งหลานหน้าคว่ำลงมาในทันที
รถม้าค่อนข้างที่จะโคลงเคลงมากไปหน่อย เมื่อครู่เขาแทบอาเจียนออกมา เมื่อคิดว่าต้องใช้เวลาอีกนานขนาดนี้ ท้องไส้ของเขาก็ปั่นป่วนในทันที
อินชิงเสวียนหัวเราะเล็กน้อยแล้วพูดว่า “หากท่านเหนื่อยที่จะนั่ง ก็เข้าไปในมิติเถอะ ข้าจะพาท่านไปเอง”
เย่จิ่งหลานส่ายหน้าทันที
“ได้อย่างไรกันเล่า ให้ผู้หญิงอย่างท่านเป็นผู้นำข้า ข้าคงรับไม่ได้”
อินชิงเสวียนกลอกตามองเขา “ท่านมีความคิดอย่างผู้ชายเป็นใหญ่เหมือนกันนะนี่ พวกเราผลัดเวรกันนั่งรถม้าก็ได้ วิธีนี้จะช่วยลดความทุกข์ทรมานได้บ้าง”
“แม้จะเป็นแบบนั้นก็จริง แต่การอยู่ในมิติก็น่าเบื่อเช่นกัน ความหมายของข้าก็คือ พวกเราไม่ควรรีบร้อนมากเกินไป ถึงเวลาก็ควรพักผ่อน ตอนนี้ก็ล่าช้ามาหลายวันแล้ว หากเย่จิ่งอวี้มีอันตรายจริงๆ ก็คงตายไปนานแล้ว หากว่าเขาไม่เป็นอะไร ต้องหาทางหลุดพ้นความลำบากได้แน่นอน”
ความคิดของเย่จิ่งหลานคือเดินทางตอนกลางวัน พักผ่อนตอนกลางคืน การทำเช่นนี้จะสามารถบำรุงจิตวิญญาณได้ทั้งคนและม้า
อินชิงเสวียนไม่มีทางเห็นด้วยอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้เสียเวลามาหลายวันแล้ว นางร้อนใจดังไฟสุมอก ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะออกมาจากเมืองหลวง จึงต้องรีบไปให้ถึงเป่ยไห่โดยไว
“หากม้าเหนื่อยเกินไปจริงๆ พวกเราค่อยพักกัน หรือสามารถเข้าไปในมิติทุกคน เพื่อลดภาระให้กับม้า”
เย่จิ่งหลานพูดด้วยความเบื่อหน่ายว่า “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าท่านกำลังวิ่งเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่กับม้ากันนะ คุณหนูใหญ่อิน ครั้งนี้ท่านเอาลูกออกมาด้วยนะ...”
เย่จิ่งหลานเพิ่งพูดจบ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่าดังขึ้นด้านหลังรถ ซึ่งเหมือนไป๋เสวี่ยอย่างมาก
อินชิงเสวียนรีบเปิดผ้าม่านออก ปรากฏว่าเห็นร่างสีขาววิ่งตามเข้ามา ซึ่งเป็นไป๋เสวี่ยจริงๆ
“เร็ว รีบหยุดรถ”
อินชิงเสวียนรีบเรียกคนขับรถม้าไว้
ความจริงนางอยากพาไป๋เสวี่ยมาด้วย แต่เมื่อนึกถึงระยะทางที่ยาวไกล และไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง จึงขังไป๋เสวี่ยไว้ที่ตำหนักด้านข้าง
นางค่อนข้างชอบสุนัขที่รู้ประสาคนเช่นนี้ เพียงแต่สุนัขไม่เหมือนแมว ไม่สามารถอยู่ในมิติเป็นเวลานานได้ อินชิงเสวียนต้องดูแลลูก จะเอาเวลาที่ไหนไปจูงมันเล่น อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ สุนัขตัวนี้มีใจที่ภักดีอย่างมาก อินชิงเสวียนกลัวว่ามันจะได้รับบาดเจ็บ เพราะสิ่งต้องเผชิญหน้าก็คือยอดฝีมือวรยุทธ์ระดับสูง หากมีการต่อสู้กันจริงๆ นางจะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลมัน
นางก็คิดไตร่ตรองรอบด้านแล้ว จึงตัดสินใจเช่นนี้ ใครจะคิดว่าเดินทางมาไกลขนาดนี้แล้ว ไป๋เสวี่ยจะยังสามารถตามมาได้อีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...