บทที่ 102 โจรปิดถนน
ในต้าคังไม่มีกระจก และสิ่งโปร่งใสที่คล้ายกันมีเพียงผลึกแก้วเท่านั้น
ผลึกแก้วเป็นของที่จัดว่าหรูหรามีมูลค่าในต้าคัง แม้แต่เหล่าขุนนางหรือผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นสูงก็ยังไม่ค่อยกล้านำสิ่งนี้มาใช้ทำหน้าต่างมากนัก
ที่จริงแล้วกระบวนการผลิตกระจกไม่ได้ซับซ้อน หากไม่มีข้อจำกัดอย่างการอยู่ในยุคโบราณ จินเฟิงสามารถผลิตมันขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
ทว่าตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นกระจกหรือพลาสติก วิธีการผลิตพวกมันยังยุ่งยากอยู่มาก
แต่หากเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ นี่จะเป็นโชคลาภมหาศาลที่แม้แต่จินเฟิงก็ไม่สามารถคาดเดาได้
อย่างไรก็ตาม หากประชาชนคนธรรมดาครอบครองของล้ำค่าเช่นนี้ก็อาจนำมาซึ่งอันตราย กว่าจินเฟิงจะมีกำลังมากพอที่จะผลิตกระจกขึ้นมา มันก็อาจจะไม่ใช่โชคลาภสำหรับเขาแต่เป็นหายนะแทน
ดังนั้นบัณฑิตหนุ่มจึงไม่ได้วางแผนที่จะสร้างกระจกเร็ว ๆ นี้
“สามี เราจะอยู่ในบ้านแบบที่เจ้าพูดถึงได้จริง ๆ หรือ?”
กวานเสี่ยวโหรวถามด้วยความโหยหา
“เจ้าเชื่อข้าเถิด มันจะต้องมีวันนั้นอย่างแน่นอน”
จินเฟิงเองก็กล่าวอย่างหนักแน่น
ตอนนี้เขาอายุเพียงสิบแปดปี ยังมีเวลาเหลืออีกมากที่จะให้เขาได้ใช้ศักยภาพทำสิ่งต่าง ๆ
“ข้าเชื่อเจ้า!”
“กวานเสี่ยวโหรวได้ยินเสียงคนข้างนอกกำลังจะกลับไปทำงาน นางจึงเริ่มกอดคอของจินเฟิงไว้แน่น”
ถังตงตงที่เดินอยู่ด้านนอกอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงแล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จินเฟิงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าในคืนนั้นเขาเผลอหลับไปเมื่อไร กว่าเขาจะตื่นได้ตะวันก็โด่งแล้ว
เมื่อมองดูกวานเสี่ยวโหรวที่ยังคงหลับสบายอยู่ในอ้อมแขน จินเฟิงก็ค่อย ๆ ยกผ้านวมบาง ๆ ขึ้นเตรียมจะลุกจากเตียง
แต่แล้วกวานเสี่ยวโหรวก็ตื่นเสียก่อน
นางยิ้มหวานให้จินเฟิงทั้ง ๆ ที่ยังงัวเงีย จากนั้นจึงซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขาและออดอ้อนราวกับลูกแมว นางค่อย ๆ ถูใบหน้าเข้ากับแผ่นอกของสามีอันเป็นที่รัก
นับตั้งแต่นางก้าวข้ามช่วงเขินอายในตอนแรกไปได้ กวานเสี่ยวโหรวก็รู้สึกผูกพันกับจินเฟิงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง นางต้องการอยู่ในอ้อมแขนของเขาตลอด ไม่อยากผละไปไหน
“เอาล่ะ ลุกขึ้นเถิด นี่ก็สายมากแล้ว”
จินเฟิงยิ้มและเกลี่ยจมูกของภรรยาตัวน้อยเบา ๆ
จากนั้นกวานเสี่ยวโหรวก็หันศีรษะและมองไปที่รอยแยกของประตูห้อง
แสงอาทิตย์ที่ลอดเข้ามาแทบจะอยู่ตรงกลางช่อง เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าสายแล้ว…
กวานเสี่ยวโหรวกระโดดขึ้นมาราวกับกำลังหวาดกลัว
“ตายแล้ว ๆ นี่มันเลยเวลาตื่นของข้าไปโข ตอนนี้มีคนมากมายอยู่ที่ลานบ้าน ข้าต้องโดนหัวเราะเยาะเป็นแน่”
“ใครกล้าหัวเราะเยาะเจ้า ข้าจะไล่ออก”
จินเฟิงพูดติดตลก
“ไม่เอาน่า”
กวานเสี่ยวโหรวกลอกตามองไปที่จินเฟิง หลังจากที่นางสวมเสื้อผ้าของตนเองเสร็จ นางก็ช่วยจินเฟิงสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่ตอนนี้คนงานหญิงทั้งหมดอยู่ที่โรงงานและไม่มีใครอยู่ในลานบ้าน
กวานเสี่ยวโหรวถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็ว
ส่วนจินเฟิงเดินเข้าไปในโรงตีเหล็ก เนื่องจากได้ยินเสียงดังมาจากด้านใน
ไม่เพียงแต่พี่น้องอย่างจางเหลียงและหม่านชางเท่านั้นที่อยู่ที่นั่น แต่จงอู่และกลุ่มของเขาก็อยู่ที่นั่นด้วย
โรงตีเหล็กเล็ก ๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
บางคนยุ่งกับการดึงเครื่องสูบลม และบางคนก็ยุ่งอยู่กับการเติมฟืน พวกเขาต่างก็มีหน้าที่เป็นของตนเอง
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่หรือ?”
จินเฟิงเอ่ยถามในขณะที่เขายังไม่หายจากความงัวเงีย
“พี่ใหญ่จงอู่ขอให้ข้าทำมีดดาบดี ๆ ให้พวกเขาสองเล่ม”
หม่านชางตอบด้วยรอยยิ้ม
นับตั้งแต่จินเฟิงสร้างดาบคุณภาพสูงให้กับชิ่งไหวไว้ใช้ในการต่อสู้ จงอู่ก็จ้องตาเป็นมัน
เขาไม่กล้าเอ่ยปากถามจินเฟิงเพราะรู้ว่าจินเฟิงน่าจะยุ่งมาก เขาจึงมาขอให้หม่านชางช่วยแทน
การทำดาบเป็นงานที่ละเอียด ตอนทำงานที่เมืองเว่ยโจว หม่านชางก็ยุ่งอยู่กับการทำลวดเหล็กเลยไม่มีเวลาทำดาบให้จงอู่
และมันก็ล่าช้ามากจนถึงตอนนี้

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์