บทที่ 106 รักษาผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
“ใช่!”
ฟางเหลยพยักหน้าอย่างหนักแน่น
จางเหลียงมักจะเรียกชายผิวคล้ำผู้นี้ว่าเหล่าเฮยหรือต้าเฮย จนจินเฟิงเกือบลืมไปแล้วว่าพี่ใหญ่เฮยผู้นี้นามว่า ฟางเหลย
“จริงหรือ?”
ทหารผ่านศึกสองคนของกองทัพเถี่ยหลินยังคงมีความแคลงใจอยู่เล็กน้อย
ระหว่างทางมาที่นี่ พวกเขาได้ยินจางเหลียงและพี่ใหญ่เฮยพูดคุยเกี่ยวกับการต่อสู้ในชิงสุยกู่และชื่นชมบุรุษผู้นี้อยู่ตลอด
ทว่าพวกเขาไม่คาดคิดว่าผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านอาจารย์จินจะยังเด็กและดูผอมบางเช่นนี้
“สิ่งที่ฟางเหลยพูดเป็นความจริง ข้าอยู่กับท่านอาจารย์ตลอดการสู้รบครั้งนี้”
จงอู่เดินเข้ามาจากด้านนอกและบังเอิญได้ยินการสนทนาของพวกเขาเลยกล่าวเสริมขึ้นอย่างรวดเร็ว “ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอาจารย์จิน กองทัพเถี่ยหลินคงจะถึงวาระแล้ว”
ทหารผ่านศึกทั้งสองรู้ดีว่าจงอู่เป็นหนึ่งในองครักษ์ส่วนตัวที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดของชิ่งไหว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าสงสัยในสิ่งที่จงอู่พูด
“ข้าน้อยทำความเคารพท่านอาจารย์จิน”
ต้าจ้วงและเถี่ยฉุยคุกเข่าลงเพื่อแสดงความเคารพทางทหารต่อจินเฟิงทันที “ข้าน้อยผู้นี้มีตาหาได้มีแวว โปรดลงโทษข้าน้อยด้วย!”
“ไม่เป็นไร ลุกขึ้นเถิด”
จินเฟิงโบกมืออย่างไม่ถือสา
“เป็นอย่างไรเล่า พวกเจ้าไม่ยอมเชื่อคำพูดข้าเอง”
ฟางเหลยพูดด้วยความขุ่นเคือง “เดือนละสามร้อยเหรียญทองแดง เจ้าจะหาคนที่มีน้ำใจเช่นนี้ที่ไหนได้อีก? หากไม่ใช่เพราะชิ่งโหวรู้ว่าหลังจากที่สหายร่วมรบปลดประจำการจะมีชีวิตที่ยากลำบาก และขอให้ท่านอาจารย์ช่วยดูแลพร้อมหางานให้ทำ พวกเจ้าคิดว่าเหลี่ยงจื่อและข้าจะไปหาพวกเจ้าหลังจากที่พวกเราลืมตาอ้าปากได้หรือ?”
“ข้าขอบคุณพี่ใหญ่ฟางเหลย!”
ทั้งสองโค้งคำนับอย่างรวดเร็วพร้อมขอโทษชายผิวคล้ำ
“พวกเจ้าขอบคุณข้าทำไมกัน ข้าไม่ได้เป็นผู้ให้ค่าตอบแทนพวกเจ้านะ”
ชายผิวคล้ำร่างใหญ่เตะทหารผ่านศึกคนหนึ่ง “เจ้าควรขอบคุณท่านอาจารย์จิน”
“ข้าขอบคุณท่านอาจารย์จิน”
ทั้งสองคนรีบคำนับจินเฟิงอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไร นับจากนี้ไปก็ตั้งใจทำงานเล่า”
จินเฟิงยิ้มและช่วยประคองทั้งสองให้ลุกขึ้น ขณะที่มองฟางเหลยอย่างซาบซึ้ง
ฟางเฟลยดูมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้น
ความจริงอีกฝ่ายสามารถพูดเรื่องนี้ระหว่างทางได้ แต่เขาก็เลือกที่จะพูดมันต่อหน้าจินเฟิง
ประโยคง่าย ๆ ไม่เพียงแต่ชนะใจทหารผ่านศึกทั้งสอง แต่ยังแสดงให้เห็นความปราถนาดีที่เขามีต่อจินเฟิงอีกด้วย
ชายคนนี้รู้จักพูดมากกว่าจางเหลียงเสียอีก
จินเฟิงไม่ได้คิดมากกับการเป็นคนช่างพูดช่างประจบ กลับกันเขาค่อนข้างพอใจ
แม้ว่าจางเหลียงจะไว้ใจได้แต่อีกฝ่ายซื่อเกินไป ในอนาคตหากต้องเดินทางไกล เขาอาจประสบกับความสูญเสียได้ง่าย เป็นการดีที่จะมีคนที่มีชีวิตชีวาและมีน้ำใจอยู่เคียงข้างเขา
“ท่านอาจารย์ไม่ต้องเป็นกังวล ระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ฟางเหลยและเหลียงจื่อได้เล่าเรื่องให้พวกข้าฟังแล้ว ว่าหลังจากนี้เราจะรับหน้าที่ขนส่งสินค้าให้กับท่าน ใครกล้าเอาเปรียบท่าน… ต้องข้ามศพข้าน้อยผู้นี้ไปก่อน”
ทั้งสองประกบมือเข้าหากันอย่างรวดเร็วและให้คำมั่นสัญญา
“ดี!”
จินเฟิงมองไปที่คนทั้งคู่แล้วพูดกับชายผิวคล้ำว่า “ฟางเหลย พาสหายทั้งสองไปกินข้าวและพักผ่อนก่อนเถิด”
“ได้!”
ฟางเหลยตอบรับ จากนั้นก็เตะทหารผ่านศึกทั้งสองแล้วพูดว่า “เจ้าทั้งสองโชคดีแล้ว รีบไปเร็วเข้า”
ชายผิวคล้ำผู้นี้เป็นนายหมู่ของทั้งคู่ในกองทัพเถี่ยหลิน พวกเขาคุ้นเคยกับการถูกเตะมานานแล้วจึงไม่โกรธและติดตามฟางเหลยไปอย่างเชื่อฟัง
ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว รุ่นเหนียงเพิ่งทำโจ๊กข้าวสาลีเสร็จ เมื่อนางรู้ว่าอาจจะมีทหารปลดประจำการมา นางจึงทำอาหารเพิ่ม
พวกเขามีอาการเหมือนกวานเสี่ยวโหรวในตอนแรก ทหารผ่านศึกทั้งสองกำลังถือโจ๊กข้าวสาลีและกินมันอย่างระมัดระวัง
ในขณะที่กินข้าว ตาของพวกเขาก็แดงก่ำ
ชีวิตของพวกเขาลำบากมากจนไม่ได้กินโจ๊กข้าวสาลีมาเป็นเวลานาน
พูดตรง ๆ ก็คือ พวกเขาไม่ได้กินอิ่มมาเป็นเวลานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโจ๊กหรือผักป่าก็ตาม


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์