บทที่ 107 การก่อสร้างครั้งใหญ่
“เตาเผาอิฐสามารถผลิตอิฐและกระเบื้องเทาได้มากมิใช่หรือ เราจะใช้สิ่งเหล่านี้มาสร้างบ้าน”
จินเฟิงโบกมือและตัดสินใจ
บังเอิญว่ากองอิฐริมแม่น้ำไม่มีที่จะเก็บแล้ว แทนที่จะปล่อยไว้ให้โดนลมโดนฝน นำมันมาสร้างบ้านดีกว่า
“จะสร้างเยอะแค่ไหนหรือ?”
จางเหลียงถาม
“เราไม่ได้วางแผนที่จะหาทหารผ่านศึกสามสิบคนหรือ? เช่นนั้นก็สร้างขึ้นมา 30 ห้องก่อนแล้วกัน”
จินเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบกลับ
“แต่นี่…”
จางเหลียงต้องการบอกว่า การทำสิ่งนี้จะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก แต่การที่จินเฟิงทำสิ่งนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อทหารผ่านศึกของกองทัพเถี่ยหลินเช่นกัน
เขา จงอู่ และคนอื่น ๆ ต่างก็มาจากกองทัพเถี่ยหลิน พวกเขาจึงได้แต่ยืนอยู่อย่างนั้นเพราะพูดอะไรไม่ออกจริง ๆ
จางเหลียงถามไม่ออก แต่หม่านชางไม่มีความรอบคอบเช่นนั้น เขาเอ่ยปากถามตามตรงว่า “ท่านอาจารย์ การสร้างบ้านจำนวนมากต้องใช้เงินไม่น้อยมิใช่หรือ?”
“ไม่เป็นไร สร้างก่อนค่อยว่ากันอีกที เราจะปล่อยให้ครอบครัวของสหายไม่มีที่อยู่อาศัยเมื่อพวกเขาย้ายมาที่นี่ไม่ได้”
จินเฟิงส่ายหัว “แต่บ้านเหล่านี้ไม่ได้มอบให้พวกเขา บ้านที่สร้างขึ้นจะยังคงเป็นของข้า พวกเขาแค่มาอยู่อาศัยเท่านั้น หากใครหยุดทำงานที่นี่ ข้าก็จะขอบ้านคืน นอกจากนี้พวกเขายังต้องจ่ายค่าเช่าเดือนละสิบเหรียญทองแดงเพื่อพักอาศัยอยู่ที่นี่”
“ไม่เลว ไม่เลวเลยทีเดียว”
จงอู่พยักหน้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อเทียบกับเงินเดือนสามร้อยเหรียญทองแดง ค่าเช่าเพียงสิบเหรียญทองแดงนั้นถือว่าเล็กน้อย
เพราะจินเฟิงต้องใช้เงินจำนวนมากในการสร้างบ้าน ดังนั้นเขาจึงควรเก็บค่าเช่า
จงอู่คงจะลืมคิดไปว่าจินเฟิงจะทำธุรกิจที่ตัวเองขาดทุนได้อย่างไร?
อิฐและกระเบื้องนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ส่วนฟืนก็แค่ไปตัดเอาที่เขาด้านหลัง จินเฟิงเพียงแค่ต้องจ่ายค่าจ้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สิ่งที่ถูกที่สุดในปัจจุบันคือค่าจ้าง จ่ายเพียงแค่วันละสองเหรียญทองแดง ก็สามารถทำให้บุรุษเหล่านั้นทุ่มเททำงานอย่างหนักได้แล้ว
นอกจากนี้ จินเฟิงไม่ได้วางแผนที่จะสร้างบ้านสามสิบหลัง แต่เขาวางแผนจะสร้างเป็นห้องพักสามสิบห้องโดยอิงจากตึกทรงกระบอกเมื่อชีวิตที่แล้ว
ด้วยวิธีนี้ การสร้างบ้านขึ้นมาใหม่จึงไม่มีค่าใช้จ่ายมากนัก
แต่ในสายตาของทหารผ่านศึก นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก
ต้าจ้วงและเถี่ยฉุยพึ่งกลับมาจากการกินอาหารเย็น เมื่อพวกเขาได้ยินข่าว พวกเขาก็ตื่นเต้นมากจนแทบจะโค้งคำนับจินเฟิง
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น จงอู่และองครักษ์คนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกซาบซึ้งเช่นกัน
แปลกจริงเชียว เขาไม่เพียงแต่จัดหางานให้คนในครอบครัวเหล่าทหารผ่านศึกเท่านั้น แต่ยังสร้างที่อยู่อาศัยให้อีกด้วย…
สิ่งเหล่านี้ดีมากจริง ๆ
องครักษ์ส่วนตัวหลายคนได้ตัดสินใจแล้วว่าพวกเขาจะเกษียณอายุไปกับท่านอาจารย์จิน
“ท่านอาจารย์ นับจากนี้ชีวิตของข้าเป็นของท่าน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่อันตรายเพียงใด ตราบใดที่ท่านอาจารย์ออกคำสั่ง ข้าเถี่ยฉุยจะไม่มีวันอ้อยอิ่ง”
เถี่ยฉุยประกาศตนและยกมือขึ้นสาบาน “หากข้าผิดต่อคำสาบานนี้ ขอให้ข้าถูกฟ้าลงทัณฑ์!”
“ข้าเองก็ด้วย!”
ต้าจ้วงเองก็รีบยกมือขึ้นและสาบานเช่นเดียวกัน
น้ำหนักของอิฐสีเทานี้ไม่เบานัก ก้อนหนึ่งหนักราวสิบสองจิน บุรุษที่โตและแข็งแกร่งหน่อยขนย้ายได้ครั้งละสองก้อน ส่วนเด็ก ๆ ขนย้ายได้ครั้งละหนึ่งก้อน
จินเฟิงเห็นเด็กหญิงอายุประมาณห้าขวบและน้องชายอายุประมาณสามขวบกำลังเข็นก้อนอิฐนี้ไปส่งให้คนงานชายที่ริมกำแพง
ทั้งสองคนไม่สวมรองเท้า เมื่อเด็กหญิงเข็นอิฐไปชนเท้าน้องชาย เด็กชายก็เริ่มร้องไห้ด้วยความเจ็บ
“ไม่ต้องร้องนะ ไม่ต้องร้อง”
พี่สาวปาดน้ำตาน้องชายแล้วพูดกับน้องชายเบา ๆ และน้องชายก็หยุดร้องไห้ จากนั้นเขาก็เดินกะโผลกกะเผลกกลับไปขนอิฐกับพี่สาวอีกครั้ง
“แบบนี้ก็ได้เหรอ?”
เมื่อจินเฟิงเห็นภาพนี้ เขาก็เกิดความไม่พอใจและเดินไปหาหัวหน้าหมู่บ้านที่ดูแลสถานที่ก่อสร้าง “ท่านอาหลิว เหตุใดท่านจึงปล่อยให้เด็ก ๆ มาที่นี่ หากชนกับเด็กตัวเล็ก ๆ เข้าจะทำอย่างไร?”
“ข้าเห็นว่าเจ้ากำลังรีบเร่งสร้างบ้าน ก็เลยเรียกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านมาช่วย และมีค่าจ้างให้วันละหนึ่งเหรียญทองแดงพร้อมอาหารสองมื้อ ข้าไม่รู้ว่าจะมีเด็กตัวน้อยติดตามมาด้วย”
“ไล่พวกเด็ก ๆ กลับไปก็ได้แล้วมิใช่หรือ?”
“หากไล่ได้ข้าก็ไล่แล้วสิ” หัวหน้าหมู่บ้านพูดอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าเจอลูกทั้งสองของสวีเหล่าซานแล้วหรือ?”
“ข้าพบพวกเขาแล้ว”
จินเฟิงพยักหน้า
เด็กตัวน้อยทั้งสองเมื่อครู่นี้เป็นลูกของสวีเหล่าซาน
“เจ้าก็รู้ว่าเมื่อปีที่แล้วสวีเหล่าซานได้เข้าร่วมสงคราม ภรรยาของเขาก็ล้มป่วยและเสียชีวิต ครอบครัวนี้เหลือเพียงหญิงชราตาบอดหนึ่งคน และนางก็ไม่สามารถไปทำงานปั่นด้ายให้เจ้าได้ ครอบครัวของพวกเขาลำบากมาสักพักแล้ว”
หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวว่า “เมื่อก่อนเด็กทั้งสองสามารถไปที่ภูเขาด้านหลังเพื่อเก็บฟืนแห้งไปแลกอิฐ และนำอิฐนี้ไปแลกเป็นอาหารกับครอบครัวที่ต้องการอิฐไปสร้างบ้านได้ ทว่าตอนนี้เตาเผาอิฐปิดไปแล้ว ฟืนแห้งที่เด็ก ๆ เก็บมาก็ไม่มีผู้ใดต้องการอีก เด็กหญิงคนนั้นวิ่งมาหาข้าและบอกว่า พวกเขากับย่าหิวโหยเป็นอย่างมาก นางขอร้องให้ข้าช่วยดูแลเรื่องอาหารโดยไม่รับค่าจ้าง ข้าเห็นว่าเป็นคนจากหมู่บ้านเดียวกันจึงทนไม่ได้และตอบตกลงไปในที่สุด พวกเขาทั้งหมดเป็นเด็กดี โจ๊กข้าวสาลีที่เป็นมื้อกลางวันพวกเขาก็ไม่กล้ากินและนำมันกลับไปให้ย่าของพวกเขาที่บ้าน…”
เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านพูดเช่นนี้ จินเฟิงก็จุกจนพูดไม่ออก

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์