บทที่ 109 เปลี่ยนวิธีการปฏิบัติ
ม้าศึกตัวนั้นสูงมาก ยากที่กวานเสี่ยวโหรวจะปีนขึ้นไป
จินเฟิงกำลังจะยื่นมือออกไป แต่รุ่นเหนียงผู้รู้งานก็รีบนำตั่งมาให้อย่างรวดเร็ว
กวานเสี่ยวโหรวเหยียบตั่งและปีนขึ้นไปบนหลังม้าอย่างระมัดระวัง
ตอนนี้จินเฟิงคุ้นเคยกับม้าศึกมากแล้ว เขาปีนขึ้นไปบนหลังม้าอย่างชำนาญและนั่งอยู่ด้านหลังกวานเสี่ยวโหรว
เมื่อขี่คนเดียว อานม้าอาจจะมีที่เหลือมาก แต่เมื่อนั่งสองคนก็แน่นไปหน่อย
หลังของกวานเสี่ยวโหรวฝังเข้าไปในอ้อมอกของจินเฟิงอย่างแนบชิด
เมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นที่หลังของนาง ร่างกายของกวานเสี่ยวโหรวก็แข็งทื่อจนไม่กล้าขยับเขยื้อน
“พี่สาว พี่เขย พวกท่านจะไปไหนกันหรือ? ข้าไปด้วย”
เสี่ยวเอ๋อที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกพร้อมกับเด็กอีกสองสามคนรีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นทั้งสองนั่งอยู่บนหลังม้าแบบแนบชิดกันนางก็หน้าแดง
“ข้าและพี่สาวของเจ้าจะกลับไปที่กวานเจียวาน แล้วพวกข้าจะรีบกลับมา”
จินเฟิงกล่าวเสริม “ตอนนี้บนหลังม้านั่งได้เพียงสองคนเท่านั้น ไว้ครั้งหน้าข้าค่อยพาเจ้ากลับไป”
เดิมทีเสี่ยวเอ๋อคิดเอาไว้ว่าต้องตามไปให้ได้ แต่เมื่อนางได้ยินว่าพี่สาวและพี่เขยของนางกำลังจะกลับไปที่กวานเจียวาน นางก็รีบพูดว่า “ไปกันเถิด ข้าไม่ไปหรอก”
กวานเจียวานเกือบจะกลายเป็นความทรงจำในวัยเด็กของนางไปแล้ว ตอนนี้นางดีใจมากที่ได้อยู่บ้านพี่เขย มีอาหารกินอย่างอิ่มท้องและสวมเสื้อผ้าที่อบอุ่นได้ทุกวัน อีกทั้งทุกคนที่นี่ก็ชอบนาง ไม่มีผู้ใดกลั่นแกล้ง
หากนางไปที่กวานเจียวานแล้วพี่สาวกับพี่เขยไม่พานางกลับมาที่นี่ด้วยกันเล่า?
“เด็กดี ไว้คราวหน้าตอนที่พี่เหลียงเข้าไปในตัวอำเภอ ข้าจะขอให้เขาซื้อของอร่อย ๆ กลับมาฝากเจ้านะ”
จินเฟิงขยับบังเหียน จากนั้นม้าก็เดินออกจากลานบ้านไปอย่างเชื่อฟัง
ม้าศึกตัวนี้ได้รับการคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถันโดยชิ่งไหวจากบรรดาม้าศึกที่จับได้ มันอายุยังน้อย แข็งแกร่งและเชื่อง
สองสามีภรรยาไม่ได้เป็นคนตัวใหญ่ น้ำหนักของพวกเขารวมกันแล้วไม่มากไปกว่าจงอู่นัก หลังจากที่ม้าออกจากลานบ้าน มันก็เริ่มวิ่งเหยาะ ๆ อย่างผ่อนคลาย
ชาวบ้านที่ผ่านไปมายิ้มอย่างมีเลศนัยเมื่อเห็นทั้งสองขี่ม้าออกไปด้วยกัน
เดิมทีจินเฟิงไม่ได้คิดมาก เพราะเขาคิดว่าเขาและกวานเสี่ยวโหรวเป็นสามีภรรยากัน การขี่ม้าแนบชิดกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร?
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ม้าวิ่งไปข้างหน้า ทั้งสองก็แนบชิดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ และจินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากขี่ม้าของภาพยนตร์เรื่องหยางกุ้ยเฟย*[1] มันทำให้การหายใจของเขาเร็วขึ้นเล็กน้อย
เมื่อลมหายใจอุ่นของจินเฟิงกระทบที่ใบหูของนาง กวานเสี่ยวโหรวที่รู้สึกกังวลและร่างกายแข็งทื่ออยู่ก็อ่อนยวบภายใต้อ้อมแขนของชายหนุ่มทันที
ตอนนี้เป็นช่วงเวลากลางวันแสก ๆ และจินเฟิงก็ไม่สามารถทำอะไรได้แม้ว่าความคิดของเขาจะเตลิดไปไหนต่อไหนแล้วก็ตาม
เขาแอบคิดในใจว่าคิดถูกหรือไม่ที่พากวานเสี่ยวโหรวออกมาด้วย
นี่เป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเองหรือไม่?
“ไว้ข้าต้องกลับไปทำรถม้าเสียแล้ว”
จินเฟิงรวบรวมสติ พร้อมกับขยับร่างกายของเขาไปด้านหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จากนั้นก็ท่องตารางธาตุในใจอย่างเงียบ ๆ
‘ลิเทียม โซเดียม โพแทสเซียม รูบิเดียม ซีเซียม แฟรนเซียม เบริลเลียม แมกนีเซียม แคลเซียม สตรอนเซียม แบเรียม เรเดียม โบรอน อะลูมิเนียม แกลเลียม อินเดียม แทลเลียม, คาร์บอน ซิลิคอน เจอร์มิเนียม ทิน เลด ไนโตเจน ฟอสฟอรัส สารหนู พลวง บิสมัท, ออกซิเจน ซัลเฟอร์ ซีลีเนียม เทลลูเลียม พอโลเนียม ฟลูออรีน คลอรีน โบรมีน ไอโอดีน แอสทาทีน, ฮีเลียม นีออน อาร์กอน คริปทอน ซีนอน เรดอน…’
โชคดีที่กวานเจียวานอยู่ไม่ไกลนัก ใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็ไปถึงภูเขาด้านหลังกวานเจียวานแล้ว
หลังจากอ้อมเชิงเขาแล้วเดินต่อไปอีกหนึ่งลี้ก็จะถึงทางเข้าหมู่บ้านกวานเจียวาน
“สามี ให้ข้าลงเดินเถิด”
กวานเสี่ยวโหรวร้องขออีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
สตรีในซีเหอวานหัวเราะได้ แต่สตรีในกวานเจียวานล้วนเป็นผู้อาวุโสในตระกูลนาง หากถูกหัวเราะนางคงไม่กล้าไปสู้หน้าใครอีก
“เจ้านั่งเถิด ข้าจะลงเดินเอง”
จะปล่อยให้ภรรยาเดิน แล้วตัวเองขี่ม้าได้อย่างไรกัน?
จินเฟิงพลิกตัวลงจากม้าโดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ
กวานเสี่ยวโหรวถอนหายใจด้วยความโล่งอก และนางก็รู้สึกอบอุ่นอยู่ในหัวใจ
ม้าอาจกล่าวได้ว่าเป็นของหายากในท้องถิ่น และคนทั่วไปมักไม่ค่อยพบเห็น
ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าไปในหมู่บ้าน ชาวบ้านกวานเจียวานที่มารวมตัวกันที่ทางเข้าหมู่บ้านซึ่งกำลังเพลิดเพลินกับอากาศที่เย็นสบายและพูดคุยกันอยู่ก็หันมาเห็น
“หืม มีม้ามุ่งหน้ามาทางนี้”
“ไม่ใช่พวกโจรใช่หรือไม่? ใครจะขี่ม้ามาหาเราล่ะ ยกเว้นพวกโจรที่ต้องการแสดงตัว”
“พวกโจรต้องมาเป็นกลุ่ม แต่นี่มีม้าตัวเดียว ไม่ใช่โจรหรอก”
“พวกโจรในภูเขาเถี่ยกว้านต่างก็ขี่ม้าล่อ แต่ม้าตัวนี้สูงมาก น่าจะเป็นม้าศึกและไม่ได้มาจากจงหยวนของเรา”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์