บทที่ 110 รีบมีทายาท
“น้องเขย เจ้ากลับมาเมื่อใดหรือ?”
ทันทีที่กวานจู้จือเห็นจินเฟิง เขาก็รีบเอ่ยทักทายด้วยความตื่นเต้น
เถียนซานยาที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอื้อมไปจับมือกวานเสี่ยวโหรวพร้อมเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร
พวกเขาสองคนกระตือรือร้นมากจนจินเฟิงขนลุก
พาลให้เขารู้สึกสับสนในชีวิต
แม้ว่าเหตุผลที่กวานจู้จือและเถียนซานยากระตือรือร้นจะชัดเจนมาก แต่อย่างไรกวานจู้จือก็เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของกวานเสี่ยวโหรว ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องให้เกียรติเขาเช่นกัน
จินเฟิงยิ้มและตอบว่า “ข้าเพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วัน และวันนี้ข้าก็เพิ่งมีเวลาว่างกลับมาที่นี่เป็นเพื่อนเสี่ยวโหรว”
“น้องเขยคงมีเรื่องที่สำคัญ”
กวานจู้จือกุมบังเหียนแทนจินเฟิงแล้วพูดว่า “กลับบ้านกันเถิด หากท่านแม่รู้ว่าเจ้ามา นางคงดีใจมากจนแทบจะมาต้อนรับที่ทางเข้าหมู่บ้าน ข้ากลัวว่านางจะรีบเร่งจนหกล้มก็เลยไม่อยากให้นางมา”
“ได้!”
ที่นี่มีคนรายล้อมมากเกินไปไม่เหมาะที่จะพูดคุย จินเฟิงจึงพยักหน้าและเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปในหมู่บ้าน
เดินไปได้เพียงครึ่งทางก็เห็นมารดาของกวานเสี่ยวโหรว กวานหลิวซื่อกำลังวิ่งเหยาะ ๆ มาทางนี้
“ท่านแม่ ช้า ๆ ไม่ต้องเร่งรีบ”
กวานเสี่ยวโหรวรีบวิ่งไปประคองมารดาของตนเอง
“ลูกเขย เจ้ากลับมาเมื่อใด? เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บจากสนามรบใช่หรือไม่?”
กวานหลิวซื่อมองจินเฟิงหัวจรดเท้าอย่างประหม่า
นับตั้งแต่นางรู้ว่าจินเฟิงติดตามชิ่งไหวไปที่สนามรบ นางก็นอนหลับไม่ค่อยสนิทและเอาแต่เป็นกังวลเพราะกลัวว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับลูกเขย
“ท่านอา ข้าสบายดี”
จินเฟิงหมุนตัวไปรอบ ๆ เพื่อเป็นการยืนยันว่าเขาไม่เป็นอะไร
“เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
กวานหลิวซื่อเอามือลูบอกของตน “ลูกเขย เจ้าอย่าหาว่าหญิงชราอย่างข้าพูดมากไปเลยนะ แต่เจ้าเป็นช่างฝีมือและไม่จำเป็นต้องรับราชการทหาร ในอนาคตหากไม่จำเป็นเจ้าอย่าไปสนามรบอีกได้หรือไม่? มันอันตรายเกินไป”
“ข้าจะไม่ไปที่นั่นอีก!”
จินเฟิงยิ้มและรับปาก
หลังจากได้รับตำแหน่งหนานแล้ว ตอนนี้เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบงสุขในบ้านเล็ก ๆ โดยมีกวานเสี่ยวโหรวอยู่ในอ้อมแขนได้อย่างอุ่นใจ หากไม่ใช่เพราะความโง่เขลาเบาปัญญา เขาคงไม่พาตัวเองกลับไปยังสนามรบที่มีกลิ่นคาวเลือดและความทุกข์ทรมานนั่นอีก
“ดี ดี!”
กวานหลิวซื่อจับจินเฟิงด้วยมือข้างหนึ่งและจับกวานเสี่ยวโหรวด้วยมืออีกข้าง “ลูกเขยของข้าซูบผอมลงไปมาก ไป ๆ กลับไปข้าจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้พวกเจ้า!”
จากนั้นพวกเขาก็เดินไปยังบ้านของกวานจู้จือ พร้อมเสียงพูดคุยและหัวเราะตลอดทาง
ชาวบ้านบางคนอยากที่จะติดตามไปชมความสนุก แต่ก็ถูกหัวหน้าหมู่บ้านขับไล่ออกไป
หัวหน้าหมู่บ้านเองก็ได้เข้ามาในลานบ้านด้วยกันและปิดประตูลานบ้านลง
กวานเสี่ยวโหรวรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของจินเฟิงในการมาที่หมู่บ้านกวานเจียวาน นางชี้ไปที่ผู้อาวุโสพร้อมแนะนำ “สามี นี่คือหัวหน้าตระกูลของเราและเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน”
“ทำความเคารพหัวหน้าหมู่บ้าน”
จินเฟิงยิ้มและกล่าวคำนับหัวหน้าตระกูล
“ไอหยา เรียกว่าหัวหน้าหมู่บ้านหัวหน้าตระกูลอะไรกัน เสี่ยวโหรวเรียกข้าว่าซานเหยียเหยี่ย เจ้าก็ควรเรียกข้าว่าซานเหยียเหยี่ย”
หัวหน้าตระกูลโบกมือแล้วบอกกล่าว
“ทำความเคารพซานเหยียเหยี่ย”
จินเฟิงตระหนักว่าผู้นำตระกูลแสดงความปรารถนาดีต่อเขา ดังนั้นเขาจึงยิ้มและเอ่ยทักทายอีกครั้ง
“เด็กหนุ่มช่างรู้ความเสียจริง”
หัวหน้าหมู่บ้านหัวเราะออกมาจนหนวดเคราสั่นไหว
“จู้จือ เจ้าคอยดูแลลูกเขยและหัวหน้าตระกูลแทนข้าที ข้าจะไปทำอาหาร”
กวานหลิวซื่ออธิบายและพาเถียนซานยาเข้าไปในครัว
“ท่านแม่ สามีข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ พวกข้าคงไม่ได้อยู่กินข้าวที่นี่”
กวานเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปในครัวพร้อมเอ่ยบอก
“นาน ๆ ทีลูกเขยของข้าจะมาที่นี่ จะกลับไปโดยไม่กินข้าวได้อย่างไร คนในหมู่บ้านจะครหาเอาได้”
กวานหลิวซื่อกลอกตามองไปที่กวานเสี่ยวโหรว
“แต่นี่มันเร็วเกินไปหรือไม่? เพิ่งจะกี่โมงยามเอง ท่านเริ่มทำอาหารแล้วหรือ?”
“ท่านแม่ พี่สะใภ้กำลังจะมีข่าวดี เรื่องราวก่อนหน้านี้ลืมมันไปเถิด แต่ตอนนี้เราไม่สามารถละเลยอาหารการกินของพี่สะใภ้ได้อีกต่อไป”
หากจินเฟิงได้ยินสิ่งที่กวานเสี่ยวโหรวพูด เขาคงจะหัวเราะให้กับความมองโลกในแง่ดีของนางเป็นแน่
แต่นี่ก็เป็นความคิดความอ่านของคนสมัยนี้ เช่นเดียวกับที่กวานเสี่ยวโหรวหลงใหลในการหาอนุภรรยาให้จินเฟิง ในความเห็นของนางเป็นเรื่องปกติที่พี่สะใภ้จะรุนแรงกับนางบ้าง พี่สะใภ้หลาย ๆ คนในหมู่บ้านก็เป็นเช่นนี้
หรือนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่าแม่ผัวลูกสะใภ้
หญิงสาวหลายคนถูกแม่สามีข่มเหงและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงตอนที่พวกนางมีศักดิ์เป็นลูกสะใภ้ และเมื่อพวกนางกลายเป็นแม่สามี พวกนางก็เชื่อโดยปริยายว่าการทารุณกรรมลูกสะใภ้นั้นเป็นการกระทำที่แม่สามีพึงปฏิบัติ
“เสี่ยวโหรว เจ้ากับจินเฟิงแต่งงานกันมานานแล้ว เจ้าใกล้จะมีข่าวดีหรือยัง?”
เถียนซานยาถาม
“ไม่เลย…” กวานเสี่ยวโหรวหน้าแดงและส่ายศีรษะปฏิเสธ
“อีกอย่าง สามีข้าก็ออกจากบ้านไปนาน”
เถียนซานยาเตือน “ข้าเตือนเจ้าเอาไว้ก่อน ตอนนี้สามีของเจ้าก็กลับมาแล้ว เจ้าต้องรีบมีทายาท ข้าได้ยินมาว่ามีหญิงจำนวนมากกำลังจับตาดูน้องเขยอยู่ ดังนั้นเจ้าอย่าประมาทให้ผู้ใดแซงหน้าเจ้า”
“ไม่ สามีข้าบอกว่าเขายังไม่อยากรับอนุภรรยาในตอนนี้…”
“สามีของเจ้าแค่อยากเอาใจและทำให้เจ้ามีความสุข ฟังไว้ได้แต่อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังไป”
เถียนซานยากล่าวว่า “ช่วงนี้ข้าก็กำลังคิดหาอนุภรรยาที่เหมาะสมให้พี่ชายของเจ้า สามีของเจ้าเป็นผู้ที่มีความสามารถ หากไม่มีอนุภรรยาผู้คนจะนินทาเจ้าเอาได้”
“เสี่ยวโหรว พี่สะใภ้ของเจ้าพูดถูก ในอนาคตลูกเขยข้าจะต้องรับอนุภรรยาอย่างแน่นอน แต่เจ้าห้ามปล่อยให้อนุภรรยามีทายาทก่อนเจ้าเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ กวานหลิวซื่อก็เข้าร่วมวงสนทนาด้วย
“อืม”
…
ในห้องครัว สตรีทั้งสามคนกำลังกระซิบกระซาบกัน ส่วนจินเฟิง กวานจู้จือ และหัวหน้าตระกูลนั้นนั่งลงอยู่ในห้องโถง
พวกเขาทั้งสามไม่คุ้นเคยกันและไม่รู้ว่าจะพูดคุยเรื่องอะไร ดังนั้นบรรยากาศจึงดูอึดอัดเล็กน้อย
แต่จินเฟิงคาดเดาจุดประสงค์ของการอยู่ต่อของหัวหน้าตระกูลได้
หากเขาริเริ่มรับสมัครคนในเวลานี้ก็จะเหมือนกับว่าเขากำลังขอความช่วยเหลือจากกวานเจียวาน ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะยังไม่เอ่ยปาก
แม้ว่าจินเฟิงจะวิตกกังวล แต่เขาก็ทำได้แค่อดทน
บัณฑิตหนุ่มหยิบถ้วยขึ้นมาแล้วจิบน้ำต้มสุกเบา ๆ ในท่วงท่าสบาย ๆ และนิ่งสงบ

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์