บทที่ 11 เสือโคร่งลงจากเขา
“เดี๋ยวข้าจะไปช่วยหม่านชาง พี่สาว พวกท่านไปเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้านเถิด”
อาหารหลักของครอบครัวนี้คือผักที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาก็เป็นช่วงเก็บเกี่ยว จินเฟิงเลยไม่อยากจะห้ามปรามอะไรพวกเขา
เขาจะไปช่วยจางหม่านชางขนฟืนขึ้นรถเข็นก่อน หลังจากลงเขาค่อยบอกกล่าวเรื่องสัตว์ร้าย
“เจ้ามีธุระอะไรก็ไปทำก่อนเถิด อีกสักครู่พวกเราก็จะไปช่วยหม่านชาง”
หลินอวิ๋นฟางมองไปยังหน้าไม้ที่เอวของจินเฟิง
หลังจากแต่งงาน อีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาไม่ได้เป็นบุรุษผู้เกียจคร้านเหมือนเมื่อก่อน มุมมองที่นางมีต่อจินเฟิงผู้นี้จึงเปลี่ยนไป
“ข้าก็มาหาท่านนี่แหละ ไม่ได้มีธุระอื่นใด”
“มาหาข้าทำไมหรือ?”
หลินอวิ๋นฟางถามด้วยความสงสัย
“ไว้ตอนลงเขาค่อยพูดเรื่องนี้กันอีกที”
จากนั้นชายหนุ่มก็เดินไปหาจางหม่านชางพร้อมกับหน้าไม้
เดินไปยังไม่ถึงครึ่งทาง เขาก็เห็นคนในหมู่บ้านมุ่งหน้ามาทางนี้พร้อมความขุ่นเคือง
“จินเฟิง เจ้ากล้าดีอย่างไรมาโกหกพวกข้า?”
ซานเสิ่นจือยืนท้าวเอวพร้อมเอ่ยปากตำหนิเขาเป็นคนแรก
“ข้าโกหกอะไรพวกเจ้าหรือ?”
จินเฟิงสับสนงงงวย
“เจ้าบอกพวกข้าว่าเขาด้านหลังมีเสือ หากนี่ไม่ใช่คำโกหกแล้วมันคือสิ่งใด?”
“ตอนบ่ายที่ข้าบอกพวกเจ้าไป ข้าก็พูดอย่างชัดเจนแล้วว่านี่เป็นเพียงการคาดเดา และข้าเองก็ไม่ได้บอกสักคำว่าสัตว์ดุร้ายที่ว่าคือเสือ มันอาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้”
จินเฟิงไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเหมือนกัน
“เจ้าพบเข้าแล้วหรือ?”
“เปล่า”
“เจ้ายังไม่ทันเห็นก็พูดจาเหลวไหลเสียแล้ว หากเจ้าไม่คิดจะทำให้ทุกคนตื่นตระหนกแล้วมีเจตนาอะไร? เจ้าใจจืดใจดำมากนะ ไม่อยากให้พวกเราขึ้นเขาไปล่ากระต่ายไม่พอ ยังไม่ให้มาเก็บผักอีก เจ้าอยากให้พวกเราทุกคนอดตายจริง ๆ ใช่หรือไม่!”
ซานเสิ่นจือเปิดฉากรัวใส่จินเฟิงไม่หยุดราวกับยิงปืนกล
“ข้าแค่คิดว่ามันน่าจะมีอันตรายเลยกล่าวเตือนพวกเจ้า ก็แค่นั้น หากพวกเจ้าสมัครใจเชื่อก็เชื่อ แต่หากไม่เชื่อก็ช่างมัน จะมาตะโกนเสียงดังใส่ข้าทำไม?”
เมื่อจินเฟิงถูกกล่าวหาอย่างไร้เหตุผล เขาก็เริ่มมีอารมณ์โกรธเช่นเดียวกัน จากนั้นชายหนุ่มก็ชี้ไปที่ภูเขาด้านหลัง “พวกเจ้าอยากล่ากระต่ายป่าหรือ ไปสิ ข้ารั้งพวกเจ้าไว้หรือ?”
“หยุดอยู่ตรงนั้นให้หมด!”
หัวหน้าหมู่บ้านที่ได้ยินข่าวรีบเดินทางมาทันที เขายืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย ในขณะที่ยังหายใจอย่างเหนื่อยหอบ “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านต้องช่วยพวกข้าตัดสิน”
เมื่อซานเสิ่นจือเห็นหัวหน้าหมู่บ้านมา นางก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งน้ำตาราวกับว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม
“จินเฟิง การจะตัดสินว่ามีสัตว์ดุร้ายหรือไม่ เจ้าต้องเห็นด้วยตาของเจ้าเองก่อน ต้องพบรอยเท้าของมัน หรือไม่ก็ขนของมัน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีร่องรอยของสัตว์อื่นที่โดนสัตว์ดุร้ายกัด”
หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวต่อ “หากเจ้าไม่ได้พบอะไรเลย เจ้าก็ไม่ควรพูดออกมาสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะเมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของเจ้า เขาอาจพากันไปจัดตั้งกลุ่มล่าเสือ หากสุดท้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เจ้าว่ามันเสียเวลาหรือไม่?”
“ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว”
จินเฟิงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้
เสือโคร่งนั้นดุร้ายมาก ชาวบ้านเพียงแค่คนหรือสองคนไม่สามารถจัดการได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อพบว่าเสือเริ่มเข้าใกล้หมู่บ้าน บรรดาคนหนุ่มคนแก่อาจต้องมารวมตัวกันเพื่อรับมือกับมัน และนั่นอาจทำให้งานอื่น ๆ ต้องล่าช้าลงกว่าเดิม
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจินเฟิงถึงลังเลที่จะกล่าวเตือนในตอนแรก
“ข้าเชื่อว่าจินเฟิงมีเจตนาดี เขาแค่พูดผิดไปเท่านั้น ทุกคนอย่าถือสาเอาความเลย แยกย้ายเถิด”
เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านที่ทุกคนเคารพนับถือออกหน้าเพื่อประนีประนอมข้อพิพาท ทุกคนเลยไม่กล้าที่จะตำหนิบัณฑิตหนุ่มต่อ ทำได้เพียงพึมพำและแยกย้ายกันไปเท่านั้น
บ้างก็กลับบ้าน บ้างก็ติดตามชายหนุ่มไปที่เชิงเขา ด้วยหวังว่าอาจจะโชคดีได้กระต่ายมาเป็นอาหาร
ในบริเวณเชิงเขารอบนอก จางหม่านชางกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถในการนำฟืนใส่รถเข็น แต่เขาก็ทำได้ไม่ถนัดนัก เนื่องจากขาที่ใช้งานได้มีเพียงข้างเดียว
เมื่อจินเฟิงไปถึง ชายหนุ่มก็ไปช่วยยกอีกด้านของปลายฟืนขึ้น หลังจากวางมันลงบนรถเข็นแล้ว เขาก็ใช้เชือกป่านรัดเอาไว้อย่างเรียบร้อย
“ขอบใจเจ้ามากพี่ชายแซ่จิน”
จางหม่านชางขอบคุณเขาด้วยใจจริง



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์