บทที่ 112 ก่อตั้งกองกำลังคุ้มกัน
มีถนนบนภูเขาแคบ ๆ เชื่อมระหว่างภูเขา
ทหารผ่านศึกต้องเดินแถวเรียงหนึ่งบนถนนโดยมีดาบยาวห้อยอยู่ที่เอว
หลังจากเดินไปรอบ ๆ ไหล่เขา ก็เห็นหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ราบเพียงแห่งเดียวตรงตีนเขา
ที่ตีนเขา มีเด็กหน้าตาซีดเซียวร่างกายซูบผอมหลายคนกำลังเก็บเห็ดอยู่ในป่า
เด็กคนหนึ่งอายุราว ๆ เจ็ดหรือแปดขวบได้ยินเสียงฝีเท้าคนก็เงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็ตกใจจนปล่อยตะกร้าหลุดมือ
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านกลับมาเร็วนักล่ะ?”
“ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าไม่ต้องมาที่เขาด้านหลังนี้อีก? เหตุใดเจ้ายังมาที่นี่อยู่?”
ฝ่ามืออันหยาบกร้านของเถี่ยฉุยลูบศีรษะของเด็กชายเบา ๆ
ที่ภูเขาด้านหลังนี้มีถนนเล็ก ๆ ซึ่งค่อนข้างปลอดภัย เนื่องจากไม่มีเสือหรือสัตว์ร้ายอื่น ๆ
แต่ก็มีแมลง หนู แมงป่อง และอื่น ๆ อีกมากมาย ทุกปีเด็ก ๆ ที่ขึ้นเขาไปเพื่อตัดฟืนและเก็บเห็ดบริเวณนั้นมักจะถูกสัตว์เหล่านี้กัด
ครอบครัวของเถี่ยฉุยเคยมีชีวิตที่ยากลำบากเลยจำเป็นต้องปล่อยให้ลูกชายขึ้นไปบนภูเขาเพื่อเก็บเห็ดเสริมรายได้ของครอบครัว อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าร่วมกองกำลังคุ้มกัน เถี่ยฉุยก็ได้รับค่าจ้างล่วงหน้าหนึ่งเดือน
เงินสามร้อยเหรียญทองแดงเพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้ เขาจึงบอกลูกชายว่าอย่าไปที่ภูเขาด้านหลังอีก
“พี่เสี่ยวเหมยไม่กล้ามาที่เขาด้านหลังคนเดียว ข้าก็เลยมาเป็นเพื่อนนาง”
บุตรชายของเขาเงยหน้าขึ้นถาม “ท่านพ่อ คราวที่แล้วท่านบอกว่าจะพาข้ากับท่านแม่ไปอยู่บ้านอิฐ เป็นเรื่องจริงหรือ?”
“เป็นเรื่องจริงสิ” เถี่ยฉุยตอบ “บ้านอิฐสร้างขึ้นเสร็จแล้ว ข้ากลับมารับพวกเจ้าแล้วนี่ไง”
“โก่วต้าน ข้าไม่ได้โกหกเจ้า พวกเราจะย้ายไปอยู่บ้านอิฐกัน!”
เด็กน้อยหันหน้าไปมองเพื่อน ๆ จากนั้นเขาก็ตามบิดาลงไปจากภูเขาท่ามกลางสายตาอิจฉาของเด็กกลุ่มหนึ่ง
บ้านของเถี่ยฉุยเป็นแค่กำแพงสี่ด้านธรรมดา มีเตียงเก่า ๆ ที่พร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ และโต๊ะเล็ก ๆ ที่ทำจากอิฐดินเท่านั้น
พวกเขาไม่จำเป็นต้องเก็บข้าวของอะไร เขาเพียงแค่แบกหม้อ กระทะ ไว้บนหลังและพาภรรยากับลูกไปก็ถือว่าย้ายบ้านได้แล้ว
เมื่อเดินไปที่ไหล่เขา ซิ่วเหนียงภรรยาของเถี่ยฉุยอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไปยังหมู่บ้านที่ตีนเขา
นางเป็นสตรีจากหมู่บ้านนี้ นางเกิดและใช้ชีวิตที่นี่มาครึ่งชีวิต ตอนนี้นางรู้สึกว่าไม่อยากจะจากที่นี่ไป
“สามี ในอนาคตเราจะกลับมาที่นี่อีกหรือไม่?”
ซิ่วเหนียงเอ่ยถามเบา ๆ
“พวกเราไปที่ซีเหอวาน ไม่ได้เข้าคุก เราสามารถกลับมาที่นี่ได้อยู่แล้ว”
เถี่ยฉุยพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้าเกรงว่าในอนาคตเจ้าคงไม่อยากจะกลับมาที่นี่อีกน่ะสิ”
“สามี มาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าไม่ต้องปิดบังข้าหรอก”
ใครจะคิดว่าทันใดนั้น ซิ่วเหนียงก็คุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดว่า “สามี เจ้าจะนำข้าไปขายก็ย่อมได้ แต่นี่คือลูกของเจ้า เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้า เจ้าห้ามนำตัวเขาไปขายเด็ดขาด”
“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร?”
เถี่ยฉุยสับสนกับคำพูดของซิ่วเหนียง “เหตุใดข้าต้องนำตัวเจ้ากับลูกไปขายด้วย?”
“เงินที่เจ้าส่งกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน หากไม่ใช่เงินที่นำตัวข้ากับลูกไปขาย แล้วมันจะมาจากที่ใดกัน”
ในขณะที่เอ่ยถามซิ่วเหนียงก็ร้องไห้ออกมา
“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วมิใช่หรือ? ว่านั่นคือเงินเดือนที่นายจ้างจ่ายให้ข้าล่วงหน้าหลังจากรับข้าเข้าทำงาน”
“สามี เหตุใดเจ้ายังเลือกที่จะโกหกข้าอยู่”
ซิ่วเหนียงปาดน้ำตา “เจ้าทำงานอะไรหรือ? เจ้านายของเจ้าถึงให้ค่าตอบแทนเดือนละสามร้อยเหรียญทองแดง?”
“ข้า…”
เงินเดือนสามร้อยเหรียญทองแดงในยุคสมัยนี้ถือว่าเป็นเงินเดือนที่สูงมาก เถี่ยฉุยไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ดังนั้นเขาจึงง้างมือขึ้นอย่างฉุนเฉียว
“ไม่ว่าข้าจะไร้ความสามารถเพียงใด ข้าก็ไม่มีวันทรยศภรรยาและลูก เจ้าลุกขึ้นแล้วตามข้ามา!”
แม้ว่าซิ่วเหนียงจะทำให้สามีเกิดโทสะ แต่นางก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
นางรู้สึกได้ว่าชายผู้นี้ไม่ได้โกหกนาง
นางรีบเดินตามเถี่ยฉุยไปและเอ่ยถาม “เจ้านายของเจ้าทำงานอะไรหรือ?”
“เขาเปิดโรงงานปั่นด้าย”
“ก็ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยทำงานปั่นด้ายมาก่อน แต่มันก็ไม่ได้ทำเงินได้มากขนาดนั้นมิใช่หรือ?”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์