บทที่ 113 หลักการฝึกซ้อม
“หนึ่ง สอง! หนึ่ง! หนึ่ง สอง หนึ่ง!”
ช่วงเช้าเป็นเวลาที่ชาวบ้านเพิ่งจะตื่นนอน แต่จงอู่ก็วิ่งเข้าไปในภูเขาด้านหลังพร้อมกับทหารที่เหลือ
ทุกคนต่างก็แบกสิ่งของที่มีน้ำหนักมากกว่าสามสิบจินไว้บนหลัง
เช่นเดียวกับจงอู่ที่อยู่แนวหน้าของขบวน
นี่เป็นกฎที่กำหนดขึ้นโดยจินเฟิงสำหรับการฝึกซ้อมของกองกำลังคุ้มกัน
ทุกเช้าพวกเขาต้องแบกของหนักเพื่อวิ่งข้ามทุ่งเป็นระยะทางสิบลี้ ใครวิ่งไม่ครบจะถูกหักค่าจ้างครั้งแรก และหากมีครั้งที่สองก็จะถูกตัดสิทธิ์เข้าร่วมกองกำลังคุ้มกัน
นี่ไม่ใช่แค่การออกกำลังกายเท่านั้นแต่ยังเป็นการฝึกกำลังใจและความสามัคคีในหมู่พวกเขาด้วย
ระยะทางสิบลี้ไม่ใช่สิ่งที่จินเฟิงคิดขึ้นมาเองโดยไร้เหตุผลรองรับ แต่เป็นข้อมูลที่ได้รับการยืนยันจากกองทัพในชีวิตที่แล้วของชายหนุ่ม มีทั้งการวิจัยและการสาธิตจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
หากวิ่งเกินสิบลี้จะทำให้ทหารหมดแรง ในช่วงสิบวันแรกอาจไม่เป็นอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางร่างกายของพวกเขาอย่างถาวรได้
แต่หากวิ่งน้อยกว่าสิบลี้ก็จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของการฝึกซ้อม
ดังนั้นการวิ่งข้ามทุ่งสิบลี้ถือเป็นหลักการที่เหมาะสมที่สุด
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทหารผ่านศึกมักจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากและสมรรถภาพทางกายของทหารยุคนี้ก็เทียบไม่ได้กับร่างกายของทหารในชีวิตที่แล้วของจินเฟิง หากต้องการวิ่งบนถนนขึ้นภูเขาในระยะทาง สิบลี้ พวกเขาจะต้องอาศัยความตั้งใจแน่วแน่และความพากเพียร
เดิมทีจินเฟิงต้องการที่จะค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มวิ่งในระยะทางหกลี้ก่อน จากนั้นค่อยเพิ่มขึ้นหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน และขยายระยะทางในการวิ่งออกไปอย่างช้า ๆ
แต่เมื่อมาคิด ๆ ดูแล้ว ชายหนุ่มก็ตัดสินใจเริ่มต้นที่สิบลี้เลย
เขาไม่เพียงต้องการกองกำลังคุ้มกันเท่านั้นแต่ยังต้องการสร้างกองกำลังชั้นยอดอีกด้วย
และนี่ก็ถือว่าเป็นการประเมินครั้งแรกของเหล่าทหารปลดประจำการ
หากใครไม่สามารถผ่านด่านแรกได้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อไป
การนับจังหวะ ‘หนึ่ง สอง! หนึ่ง สอง!’ คือการฝึกพวกเขาให้คุ้นเคยกับการทำงานร่วมกัน นั่นจะช่วยเพิ่มความสามัคคีได้เป็นอย่างดี
นับหนึ่งก้าวเท้าซ้าย นับสองก้าวเท้าขวา
ในตอนแรก บางคนไม่คุ้นเคยกับมันและงงกับจังหวะฝีเท้า อย่างไรก็ตาม หลังจากวิ่งไปได้สองลี้ การก้าวเท้าและจังหวะของทหารผ่านศึกก็ค่อย ๆ เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น
จินเฟิงถือว่าโชคดี เพราะทหารผ่านศึกที่เขาได้ตัวมาล้วนแต่เป็นคนที่อดทนต่อความยากลำบากและยืนหยัดจนไปถึงสิบลี้ได้ตั้งแต่วันแรก
ในชีวิตที่แล้ว จินเฟิงเองก็เคยเข้าร่วมโครงการทางทหารมากกว่าหนึ่งครั้ง เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับทหารจึงนำหลักการฝึกซ้อมเหล่านั้นมาใช้
หลังกินข้าวเช้าเสร็จ จางเหลียงก็พาทหารผ่านศึกไปที่ภูเขาด้านหลังเพื่อทำการฝึกขั้นต่อไปตามแผนที่จินเฟิงวางไว้
จงอู่และเหล่าทหารอีกกลุ่มไม่ได้ไปด้วย พวกเขาไปรอจินเฟิงอยู่ที่ลานเล็ก ๆ โดยที่แต่ละคนมีดาบทมิฬห้อยอยู่ที่เอว
“ท่านอาจารย์ ตอนนี้ท่านก็ได้กำลังคนตามต้องการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาที่พวกข้าจะกลับไปรายงานตัวกับท่านโหวแล้ว”
จงอู่ถามว่า “ท่านอาจารย์ ท่านมีสิ่งใดอยากจะกำชับเป็นพิเศษอีกหรือไม่?”
“ข้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว” จินเฟิงตบไหล่จงอู่ “อันตรายในสนามรบเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา กลับไปบอกท่านโหวว่าไม่จำเป็นต้องกังวล ตราบใดที่ยังมีชีวิตก็ยังมีความหวัง ความปลอดภัยของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด”
ตอนที่อยู่เมืองเว่ยโจว จินเฟิงรู้สึกผิดหวังกับกองทัพของต้าคังเป็นอย่างมาก
เพราะการทุจริตของเหล่าแม่ทัพที่ไม่เอาการเอางาน ทหารต้าคังส่วนใหญ่ถึงได้สูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ไปนานแล้ว
เมื่อสถานการณ์เลวร้าย นายทหารทุกนายรวมไปถึงแม่ทัพต่างก็วิ่งหนีไม่คิดชีวิต เพราะกลัวว่าจะถูกทหารม้าตั่งเซี่ยงเข้าสังหาร หากพวกเขาวิ่งช้าเกินไป
ในมุมมองของจินเฟิง นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้กองทัพของต้าคังพ่ายแพ้ติดต่อกันหลายปี
จากสถานการณ์ดังกล่าว เป็นเรื่องยากสำหรับกองทัพเถี่ยหลินของชิ่งไหวและกองทัพฟ่านเจียของแม่ทัพฟ่านที่จะรับมือกับสงครามที่ซีเป่ย เพราะทัพต่าง ๆ สามารถแตกออกจากกันได้ง่ายมาก
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจินเฟิงจึงออกจากกองทัพเถี่ยหลิน
หลังจากอยู่ด้วยกันนานกว่าสองเดือน จินเฟิงและชิ่งไหวก็ได้กระสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าชิ่งไหวทุ่มเทให้กับกองทัพเถี่ยหลินมากเพียงใด เขาคงไม่มีวันทอดทิ้งกองทัพเถี่ยหลินอย่างแน่นอน
ทุกคนมีความทะเยอทะยานเป็นของตัวเอง ชิ่งไหวเองก็เคารพในการตัดสินใจของจินเฟิง และจินเฟิงก็เคารพการตัดสินใจของเขาเช่นกัน


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์