บทที่ 119 จ่ายค่าอาหาร
หญิงสาวที่มากับชิ่งมู่หลานมีมากกว่าสิบคน บ้านหนึ่งหลังคงไม่สามารถรองรับพวกนางได้อย่างแน่นอน โรงงานสิ่งทอก็ยังไม่ได้สร้างหอพัก จินเฟิงและกวานเสี่ยวโหรวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพาชิ่งมู่หลานและคนอื่น ๆ ไปพักที่บ้านของเซี่ยกวาง
“นี่คือบ้านที่พี่ชายของเจ้าเช่าเอาไว้ พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่ได้ชั่วคราว”
จินเฟิงยื่นกุญแจให้ชิ่งมู่หลาน
“ที่นี่เล็กเกินไป พวกเรามีกันตั้งสิบกว่าคน”
ชิ่งมู่หลานเบะปากด้วยความรังเกียจ
ด้วยความที่ชิ่งมู่หลานคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด นางเติบโตมาด้วยเสื้อผ้าชั้นดีและอาหารรสเลิศ อีกทั้งยังอาศัยอยู่ในรั้วบ้านที่มีบริเวณและมีกำแพงสูง เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะมองไปที่บ้านอิฐดินอันทรุดโทรมด้วยความรังเกียจ
ถึงแม้ว่าที่แห่งนี้จะได้รับการดูแลโดยจงอู่ และแน่นอนว่ามันก็ดีกว่าที่อยู่อาศัยของชาวบ้านส่วนใหญ่ในซีเหอวานมากก็ตาม
“คุณหนูใหญ่ เช่นนี้แล้วเจ้ายังบอกว่ากำลังเตรียมตัวไปสนามรบอยู่อีกหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าสนามรบเป็นอย่างไร?”
จินเฟิงเหลือบไปมองนาง “ในสนามรบมีคนหลายสิบคนอัดกันอยู่ในกระโจมและนอนรวมกันอยู่บนพื้น เจ้าควรยินดีมากกว่าที่ที่นี่ยังมีเตียงให้ อีกทั้งเมื่อเกิดการต่อสู้ก็จะมีซากศพเต็มไปหมด กลิ่นคาวเลือดเองก็ชวนคลื่นไส้ เมื่อทหารที่ผ่านการสู้รบมาอย่างต่อเนื่องกลับมา พวกเขาก็จะหามุมหนึ่งเพื่อพักผ่อนทันที ทหารหลายนายไม่ทันได้เช็ดเลือดออกจากใบหน้าด้วยซ้ำแต่ก็นอนหลับไปทั้งอย่างนั้น หากเจ้ารับสิ่งนี้ไม่ได้ เจ้าก็ควรละทิ้งความคิดที่จะไปสนามรบโดยเร็วที่สุด และอยู่บ้านเล่นพ่อแม่ลูกไปก็พอ”
“นี่เจ้า…”
ชิ่งมู่หลานโกรธจนหน้าแดง แต่นางก็ไม่มีคำพูดที่จะปฏิเสธ
“เอาล่ะ พวกเจ้าเก็บข้าวเก็บของก่อนแล้วกัน อยากจะไปเดินเล่นหรือพักผ่อนก็ได้ แต่ต่อจากนี้ไปห้ามสวมชุดเกราะในหมู่บ้านอีก มันทำให้เป็นจุดสนใจเกินไป”
จินเฟิงอธิบายว่า “อีกอย่าง พวกเจ้าไม่ต้องทำอาหาร มันเสียเวลา พวกเจ้าสามารถไปหาทหารผ่านศึกหรือโรงอาหารของโรงงานสิ่งทอเพื่อกินอาหารได้จะได้ปรับตัวให้เข้ากับมื้ออาหาร ตอนไปที่สนามรบจะได้ชิน”
ส่วนใหญ่อาหารของกองทัพต้าคังจะเป็นอาหารประเภทตุ๋น ไม่ต้องพูดถึงว่ามีน้ำมันหรือไม่ เพราะแม้แต่เกลือก็ยังใส่น้อยมาก
สิ่งนี้น่ะไม่เท่าไร ที่สำคัญคือการจัดจานและรสชาติอาหารต่างหาก พวกเขาต่างกินข้าวกันในชามใบใหญ่โดยที่อาหารนั้นเหนียวข้นไม่น่ากินเเลยสักนิด
การกินอาหารประเภทนี้นานกว่าหนึ่งเดือนเป็นแผลใจของชายหนุ่ม เขารู้สึกไม่สบายใจแม้จะเพียงคิดถึงมัน
“ได้!”
ชิ่งมู่หลานพยักหน้าเห็นด้วย
“เช่นนั้นเจ้าก็จ่ายค่าอาหารข้ามา”
จินเฟิงไม่สนใจว่าชิ่งมู่หลานจะเข้าใจหรือไม่ เขาทำท่าถูปลายนิ้วมือเป็นเชิงรอรับเงิน
ชิ่งมู่หลานไม่คิดว่าจินเฟิงจะเก็บเงินจากนางจึงเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“มองอะไร กินข้าวไม่ต้องจ่ายค่าอาหารหรือ?”
จินเฟิงเร่งเร้าอย่างไม่อดทน “เร็วเข้าสิ!”
“เอาไป!”
ชิ่งมู่หลานหยิบแท่งเงินห้าสิบตำลึงเงินสองแท่งออกมาจากกระเป๋าม้า “พอหรือยัง?”
“พอแล้ว” จินเฟิงไม่สุภาพและเอื้อมมือไปรับมันอย่างรวดเร็ว “อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าแต่ละคนเตรียมห่อของหนักสามสิบจินมาด้วย แล้ววันพรุ่งนี้ตอนเช้าค่อยนำมันไปที่บ้านข้า”
“เตรียมไปทำไมกัน?”
ชิ่งมู่หลานถาม
“วิ่งข้ามทุ่งเป็นระยะทางสิบลี้พร้อมแบกน้ำหนักไว้บนหลัง เป็นหนึ่งในวิธีฝึกที่ทหารผ่านศึกต้องทำทุกวัน”
จินเฟิงกล่าวว่า “นี่เป็นการทดสอบครั้งแรกของเจ้า หากทนไม่ไหว เจ้าก็กลับไปได้เลย”
“ได้ พวกข้าไม่มีปัญหา!”
ไม่เพียงแต่ชิ่งมู่หลานเท่านั้น แต่หญิงสาวที่อยู่ข้างหลังนางก็มีสีหน้าไม่พอใจ
“ขอให้พวกเจ้าโชคดี”
จินเฟิงยิ้มและโบกมือให้กวานเสี่ยวโหรว “เสี่ยวโหรว ไป พวกเรากลับบ้านกันเถิด!”
“สามี เจ้ากลับไปก่อน แม่นางมู่หลานเพิ่งมาถึงที่นี่ ข้าจะช่วยนางเก็บของเสียหน่อย”
กวานเสี่ยวโหรวยิ้มและส่ายหัว
“ตามใจเจ้าแล้วกัน”
เมื่อชิ่งมู่หลานได้รับข้อมูลมาบางส่วน หลังจากส่งกวานเสี่ยวโหรวออกไปแล้ว นางก็ส่งทหารหญิงอีกสองสามคนออกไปตระเวนเพื่อทำความรู้จักซีเหอวาน
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ทหารหญิงนำกลับมาทำให้ชิ่งมู่หลานประหลาดใจ
ทุกคนในหมู่บ้านไม่ว่าจะอายุหรือเพศไหนต่างก็ยกนิ้วให้เมื่อกล่าวถึงจินเฟิง ทุกคนยกย่องเขามากกว่ากวานเสี่ยวโหรวเสียอีก
ก่อนที่จะมา ชิ่งมู่หลานคิดว่าจินเฟิงเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาซึ่งถูกชิ่งไหวพบเข้าโดยบังเอิญ
หลังจากมาถึงซีเหอวาน ก็พบว่ายอดฝีมือผู้นี้ค่อนข้างน่ารำคาญและไม่มีความกรุณาเลยแม้แต่น้อย
นางมาพร้อมกับจดหมายของชิ่งไหว แต่เขายังเก็บเงินค่าอาหารจากนาง
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของชาวบ้าน จินเฟิงเป็นคนที่ใจดี เพราะความมั่งคั่งของเขา ไม่เพียงแต่สวัสดิการที่โรงงานสิ่งทอและสถานที่ก่อสร้างจะดีมากเท่านั้น แต่เขายังรับเด็ก ๆ เข้ามาเป็นแรงงานตัวน้อยเพียงเพื่อให้พวกเขาได้มีกินอีกด้วย
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านพี่ชิ่งไหวให้ความเคารพท่านอาจารย์จินอย่างสูง น่าสนใจจริง ๆ”
ชิ่งมู่หลานลูบคางของนางพร้อมสายตาอยากรู้อยากเห็น
เช้าวันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่ทันสว่าง ชิ่งมู่หลานก็รวบรวมทหารหญิงและมุ่งหน้าไปที่ลานบ้านของจินเฟิงแล้ว
ทุกคนแบกย่ามใบใหญ่ไว้บนหลัง
“ข้าบอกพวกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่ายามอิ๋น*[1] ค่อยมา”
จินเฟิงหาวและออกมาจากห้องด้านหลัง “พวกเจ้ามาทำอะไรเวลานี้ ข้ายังพักผ่อนไม่เพียงพอด้วยซ้ำ”
เมื่อคืนนี้ชิ่งมู่หลานเข้าใจแล้วว่านางคงเถียงจินเฟิงไม่ชนะ จึงไม่พูดอะไรและได้แต่ยืนนิ่งอยู่ในสนาม
จินเฟิงพยายามฝึกความอดทนของชิ่งมู่หลานตั้งแต่พบกันเมื่อวานนี้ เขาจึงเลือกที่จะเพิกเฉยต่อพวกนาง และหยิบก้านหลิวมาจากมือของกวานเสี่ยวโหรว แล้วเริ่มทำความสะอาดฟัน
เมื่อคืนเขายุ่งอยู่กับการทำงานในโรงหลอมเหล็กจนถึงกลางดึกก่อนจะกลับไปนอน เมื่อต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเช่นนี้ ชายหนุ่มเลยไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าทั้งชิ่งมู่หลานและทหารหญิงไม่ได้สวมชุดเกราะแล้ว ในทางกลับกัน พวกนางล้วนสวมชุดฝึกซ้อมสีดำรัดรูป
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ บัณฑิตหนุ่มก็หายจากอาการงัวเงีย จากนั้นเขาก็หันไปมองไปชิ่งมู่หลานด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
[1] ยามอิ๋น (寅时) : คือ ช่วงเวลา 03:00 – 04:59 น.

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์