บทที่ 13 ศาลาว่าการจินชวน
“ข้าเคยบอกไปแล้ว ว่าที่เสี่ยวโหรวไม่สามารถโดนแสงแดดเป็นเวลานานได้ เป็นเพราะนางนั้นเกิดมาร่ำรวยมีวาสนาต่างหาก เป็นอย่างไร ตอนนี้เชื่อกันหรือยัง?”
จินเฟิงชี้ไปที่บรรดาสตรีที่ยืนอยู่รอบ ๆ และพูดว่า “ต่อแต่นี้ไป หากมีผู้ใดพูดจาเหลวไหลว่านางเป็นดาวหายนะอีก ข้าจะไม่ยอมความแน่!”
“พวกข้าเชื่อแล้ว เชื่อแล้ว หากเจ้าเดินทางไปรับเงินรับรางวัล อย่าลืมนำหมั่นโถวแป้งขาวกลับมาด้วยนะ แล้วหลังจากนี้เมื่อข้าเจอภรรยาของเจ้า ข้าจะเรียกนางว่าเทพธิดาแห่งความมั่งคั่ง”
หญิงสาวในหมู่บ้านพูดติดตลก
“ต่อให้ข้าจะไม่ได้นำหมั่นโถวแป้งขาวกลับมา หลังจากนี้พวกเจ้าก็ควรเรียกนางว่าเทพธิดาแห่งความมั่งคั่ง!”
“เพราะเหตุใด?”
“ก็เพราะหลังจากนี้พวกเจ้าจะได้รับเงินจากนาง และมีชีวิตที่ดีขึ้นน่ะสิ”
“เช่นนั้นข้าจะรอดู”
“เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่ให้เจ้ารอนานหรอก” จินเฟิงเอ่ยอย่างมั่นใจ
ในฐานะนักเดินทางข้ามเวลา จินเฟิงจะไม่ปักหลักอยู่ในหุบเขาเล็ก ๆ แห่งนี้อย่างแน่นอน นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ไม่ว่าในอนาคตเขาจะทำอะไร แน่นอนว่า ทำคนเดียวคงไม่ไหว ถึงตอนนั้นคนในซีเหอวานต้องมาทำงานกับเขา แล้วรับค่าตอบแทนจากกวานเสี่ยวโหรว
เช่นนี้แล้ว ภรรยาของเขาจะเป็นอะไรไปได้ถ้าไม่ใช่เทพีแห่งความมั่งคั่ง?
ทว่าตอนนี้สตรีในหมู่บ้านล้วนคิดว่าจินเฟิงกำลังคุยโวโอ้อวดจึงไม่มีใครเก็บคำพูดของเขามาใส่ใจ พวกนางหันศีรษะไปมองจางเหลียงที่ก้าวขึ้นมาและคำนับให้กับมารดาของเขา
ชีวิตของครอบครัวจางนั้นยากลำบาก ในฐานะเสาหลักของครอบครัว เขาต้องทำงานอย่างหนักในไร่นา กว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำทุกวัน
พอกลับมาถึงหน้าประตูบ้าน จางเหลียงก็ได้ยินเสียงคำรามของเสือบริเวณเขาด้านหลัง
มารดา ภรรยา น้องชายและน้องสาวของเขาไปเก็บผักแถวนั้นเช่นกัน ความจริงข้อนี้ทำให้จางเหลียงตื่นตระหนก
เมื่อมาถึงเขาด้านหลังถึงได้รู้ว่าจินเฟิงช่วยชีวิตครอบครัวตนเองเอาไว้
หลังจากเขาปลอบโยนมารดาและจางหม่านชางที่ยังคงสวมกางเกงเปียกชื้นเสร็จ เขาก็เบียดฝูงชนออกไปหาจินเฟิง ก่อนจะใช้กำปั้นขวาทุบหน้าอกตัวเองอย่างแรง
“น้องชายแซ่จิน ขอบคุณสำหรับความเมตตา จากนี้ไปชีวิตของจางเหลียงผู้นี้เป็นของเจ้า หากเจ้ามีสิ่งใดให้ข้าทำสั่งมาได้เลย!”
นี่คือมารยาทขั้นสูงสุดของบุรุษในกองทัพ
“ท่านพี่เหลียง พี่สะใภ้คือลูกพี่ลูกน้องของเสี่ยวโหรว เราต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้?”
คำพูดเหล่านี้ ในยุคหลังถือว่าเป็นคำพูดที่สุดแสนจะเรียบง่ายและธรรมดา ทว่าสำหรับจางเหลียง เขาสัมผัสได้ถึงความหมายอันลึกซึ้งของมันจริง ๆ
การที่สองพี่น้องครอบครัวจางเป็นผู้พิการ ทำให้พวกเขามีช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่น้อยในหมู่บ้านแห่งนี้ สตรีที่ไปเก็บผักป่าต่างก็ไม่ยินดีที่จะไปกับสะใภ้จาง เนื่องจากนางเก็บผักเร็วเกินไป
หลายปีที่ผ่านมา จางเหลียงพบคนเห็นแก่ตัวขี้ประจบประแจงมาไม่น้อย ไม่บ่อยนักที่จะพบกับคนที่มีเจตนาดีต่อผู้อื่นเช่นนี้
จินเฟิงได้เสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อช่วยครอบครัวของเขา พอมาได้ยินคำพูดเหล่านี้เข้า จางเหลียงยิ่งรู้สึกซาบซึ้งสุดหัวใจ
เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเห็นดังนั้น เขาก็ยิ้มจนตาหยีด้วยความยินดี
หลายปีมานี้ เสือโคร่งที่ลงมาจากเขาพรากชีวิตผู้คนไปไม่น้อย
ครั้งนี้ทางหมู่บ้านไม่ได้จัดตั้งกลุ่มล่าเสือด้วยซ้ำ แต่ชายผู้นี้กลับไม่รอให้เสือทำร้ายผู้คน เขาฆ่าเสือได้ด้วยตัวคนเดียว
ตอนนี้ชาวบ้านไปนำเชือกป่านมามัดเสือเอาไว้และแบกไปที่บ้านของจินเฟิงโดยไม่ต้องรอให้เจ้าตัวเอ่ยปาก
จินเฟิงนำเมล็ดถั่วลิสงที่ซื้อกลับมาในตอนสายออกมาแจกจ่ายให้กับผู้คนด้วยความอบอุ่นคึกคัก
แม้ตัวเขาจะหน้าแดงด้วยความเขินอาย แต่ก็ต้องทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับผู้มาเยือน ขณะเดียวกันสตรีในหมู่บ้านก็พูดจาหยอกล้อเขาไปด้วย
“จินเฟิง เจ้าจะให้ผู้ใดไปศาลาว่าการกับเจ้าหรือ?”
หัวหน้าหมู่บ้านดึงตัวบัณฑิตหนุ่มออกไปด้านข้าง แล้วกระซิบถามเขาเบา ๆ
เงินจากการขายเสือและค่าหัวนั้นถือเป็นเงินจำนวนมาก ตามกฎของทางการแล้ว จินเฟิงต้องดูแลเรื่องอาหารการกินให้ผู้ที่ติดตามไปศาลาว่าการ และหากรู้ทำนองคลองธรรมก็ควรจะให้ซองแดงตามสมควรด้วย
ยุคนี้ โอกาสที่จะมีข้าวกินจนอิ่มท้องนั้นไม่มากนัก ดังนั้นการได้ไปยังศาลาว่าการกับเขาไม่ต่างอะไรจากโอกาสในการรับทรัพย์ และหัวหน้าหมู่บ้านเองก็ไม่ได้มีสิทธิ์ในการตัดสินใจเรื่องนี้

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์